หากคุณเป็นเจ้าของธุรกิจโดยเฉพาะอย่างยิ่งธุรกิจ SME…

คงปฏิเสธไม่ได้เลยว่าสิ่งที่คุณต้องการมากที่สุดก็คือ “ลูกค้า”

และการที่คุณจะมีลูกค้าเพิ่มขึ้นได้ คุณก็จำเป็นต้องทำการตลาดเพื่อให้ธุรกิจเป็นที่รู้จักด้วยการโปรโมทสินค้าและบริการของคุณผ่านช่องทางต่างๆ

ป้ายโฆษณา, ใบปลิว, โปรชัวร์, นามบัตร, โฆษณาทีวี, นิตยสาร, หนังสือพิมพ์, การบอกต่อจากคนรอบข้าง… สิ่งเหล่านี้คือช่องทางการตลาดแบบดั้งเดิมที่หลายๆธุรกิจยังใช้อยู่ในปัจจุบัน (ซึ่งแน่นอนว่ามันได้ผล… หากทำอย่างถูกต้อง)

แต่ในปัจจุบันมีการตลาดอีกช่องทางหนึ่งที่ถูกพูดถึงอย่างมาก…

ซึ่งเป็นช่องทางที่ค่าใช้จ่ายถูกกว่าช่องทางเหล่านี้, เข้าถึงลูกค้าได้แม่นยำกว่า, วัดผลลัพธ์ได้ดีกว่า, และที่สำคัญที่สุด… ทุกธุรกิจสามารถใช้ช่องทางนี้ในการเริ่มต้นสร้างลูกค้าเพิ่มขึ้นได้ ถึงแม้ว่าธุรกิจนั้นจะมีงบประมาณด้านการตลาดที่จำกัด

ช่องทางที่ว่านี้ก็คือ… “การตลาดออนไลน์”

การตลาดออนไลน์คือช่องทางในการสร้างลูกค้าที่เกือบทุกธุรกิจกำลังพูดถึง แต่คำถามก็คือ จริงๆแล้วการตลาดออนไลน์คืออะไรกันแน่…

การตลาดออนไลน์คืออะไร?

หากเราจะให้ความหมายกับคำว่า “การตลาดออนไลน์” แบบสั้นๆ ก็อาจจะอธิบายได้ว่า…

การตลาดออนไลน์คือวิธีการทำให้สินค้าและบริการของธุรกิจเป็นที่รู้จักและมียอดขายเพิ่มขึ้นอย่างเป็นขั้นตอน ด้วยการใช้ประโยชน์จากเทคนิคและเครื่องมือทางออนไลน์ต่างๆ เช่น สื่อสังคม (Social Media), สื่อออนไลน์ (Online Media), เซิจเอนจิ้น (Search Engine) เป็นต้น

กล่าวอีกอย่างหนึ่งก็คือ การตลาดออนไลน์คือวิธีการทำการตลาด จากเดิมที่ธุรกิจเคยใช้สื่อแบบดั้งเดิมที่เป็นออฟไลน์ มาเป็นแบบออนไลน์…

ทำไมจึงเป็นแบบนั้น?

เหตุผลก็เพราะในปัจจุบันอินเทอร์เน็ตได้เข้ามามีบทบาทอย่างมากกับชีวิตประจำวัน ซึ่งสิ่งนี้ได้เปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของคนจากสิ่งที่เคยทำก่อนหน้านี้ เช่น:

จากเดิมที่ทุกคนเคยส่งจดหมายทางไปรษณีย์ ก็เปลี่ยนมาใช้อีเมล

จากเดิมที่ทุกคนเคยดูหนังและละครผ่านทีวี ก็เปลี่ยนมาใช้ YouTube

จากเดิมที่ทุกคนเคยอ่านเพียงแค่หนังสือพิมพ์ ก็เปลี่ยนมาอ่านบล็อกหรือเว็บข่าว

จากเดิมที่ทุกคนเคยทำความรู้จักคนใหม่ๆด้วยการเจอตัวต่อตัว ก็เปลี่ยนมาใช้ Facebook

การตลาดออนไลน์คืออะไร

สิ่งเหล่านี้ส่งผลให้ผู้บริโภคใช้เวลากับสื่อแบบดั้งเดิมน้อยลง และหันมาใช้เวลากับสื่อดิจิตอลและออนไลน์มากขึ้น…

ธุรกิจจึงจำเป็นที่จะต้องทำให้กลุ่มลูกค้าเป้าหมายสามารถเห็นสินค้าและบริการของตัวเองได้บนจอโทรศัพท์, แท็บแล็ต, สมาร์ททีวี หรือคอมพิวเตอร์ของผู้ใช้งานได้นั่นเอง

เมื่อผู้ใช้งานซึ่งเป็นกลุ่มลูกค้าเป้าหมายสามารถเห็นธุรกิจของคุณจากออนไลน์ได้…

ธุรกิจของคุณก็จะเริ่มเป็นที่รู้จักมากขึ้น และเปิดโอกาสให้ผู้ที่สนใจสามารถเรียนรู้ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับของสินค้าและบริการ รวมทั้งถามคำถามที่เขามี

ดังนั้นเป้าหมายของการทำการตลาดออนไลน์ก็คือ การทำให้ธุรกิจของคุณแสดงสินค้าและบริการที่ตรงกับสิ่งที่ลูกค้าต้องการจริงๆ, ในเวลาที่ถูกต้อง, และในที่ที่ถูกต้อง ตอนที่คนๆนั้นกำลังใช้อินเทอร์เน็ตเพื่อเล่น Facebook, อ่านข่าวบนเว็บไซต์, หรือหาข้อมูลต่างๆบนเซิจเอนจิ้นนั่นเอง

การตลาดออนไลน์อาจเป็นเรื่องที่ดูซับซ้อน โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับคนที่เพิ่งเริ่มต้น…

คุณอาจจะไม่สามารถเรียนรู้ทุกอย่างได้ภายในวันเดียว…

แต่เพื่อให้คุณเข้าใจทุกอย่างได้ง่ายที่สุดและสามารถเริ่มต้นทำการตลาดออนไลน์อย่างได้ผล สิ่งที่คุณต้องให้ความสำคัญมีเพียงแค่ 3 อย่างนี้ก็คือ:

1. จะทำอย่างไรให้กลุ่มลูกค้าเป้าหมายเข้ามาหาและรู้จักกับคุณ

2. จะทำอย่างไรให้เขาคุ้นเคยและไว้ใจคุณ

3. จะทำอย่างไรให้เขาตัดสินใจซื้อหรือรับข้อเสนอที่คุณมอบให้อย่างเต็มใจ

ง่ายๆใช่ไหมครับ? แค่สามขั้นตอนเท่านั้นสำหรับการเริ่มต้น

ทีนี้เรามาเรียนรู้เพิ่มเติมกันสักนิดว่าคุณจะสร้างลูกค้าให้กับธุรกิจด้วยการทำการตลาดออนไลน์ได้อย่างไร

การตลาดออนไลน์กับธุรกิจ SME

สำหรับธุรกิจ SME แล้วการตลาดออนไลน์ไม่ได้แตกต่างจากการตลาดช่องทางอื่นๆเลย…

เพราะเป้าหมายของการทำการตลาด ไม่ว่าจะช่องทางไหนก็ตาม ก็คือทำให้กลุ่มลูกค้าเป้าหมายรู้จักกับสินค้าและบริการมากขึ้น และสร้างความคุ้นเคยกับแบรนด์เพื่อให้ธุรกิจสามารถสร้างผู้สนใจและลูกค้ารายใหม่ๆ

แต่สิ่งเดียวที่ทำให้การตลาดออนไลน์แตกต่างจากการตลาดแบบดั้งเดิมก็คือ​ “วิธีการเข้าถึงลูกค้า”

ลองนึกตามแบบนี้ครับ..

คุณซื้อสินค้าและบริการครั้งล่าสุดตอนไหน?

ไม่ว่าสินค้าหรือบริการนั้นคืออะไร คุณอาจได้มีการค้นหาข้อมูลเบื้องต้นบนอินเทอร์เน็ตก่อนที่จะตัดสินใจซื้อมัน ไม่ว่าจะเป็น:

  • รีวิวจากผู้ใช้งานคนอื่นๆ
  • ความคิดเห็นจากเพื่อนของคุณ
  • คุณสมบัติต่างๆและความสามารถของสิ่งนั้นๆ
  • ราคาและความคุ้มค่า
  • ความน่าเชื่อถือของคนขาย
  • และอื่นๆอีกมากมายที่คุณใช้ประกอบการตัดสินใจ

ลูกค้าของคุณก็ไม่ได้แตกต่างกัน…

เพราะเขาใช้อินเทอร์เน็ตเป็นเครื่องมือในการค้นหาข้อมูลของสินค้าและบริการที่ต้องการจะซื้อ

ด้วยเหตุผลนี้เอง ไม่ว่าธุรกิจของคุณจะขายสินค้าและบริการอะไร สิ่งแรกที่คุณจะต้องมีสำหรับการทำการตลาดออนไลน์เพื่อให้ลูกค้ารู้จักคุณก็คือ “ตัวตนบนโลกออนไลน์” (Online Presence)… เพราะสิ่งนี้จะทำให้ลูกค้าสามาถมองเห็นคุณได้

ดังนั้นในการทำการตลาดออนไลน์เพื่อสร้างลูกค้าให้กับธุรกิจก็คือ คุณจำเป็นที่จะต้องออกแบบกลยุทธ์ที่ทำให้ลูกค้าสามารถมองเห็นคุณได้ในหลายๆช่องทางบนอินเทอร์เน็ตนั่นเอง…

ไม่ว่าจะเป็นการมีเว็บไซต์ที่ให้ข้อมูลสินค้าและบริการอย่างครบถ้วน, การทำให้ธุรกิจสามารถแสดงขึ้นมาเมื่อลูกค้าค้นหาสินค้าและบริการที่คุณขาย, การลงโฆษณาเพื่อให้คุณสามารถเข้าถึงลูกค้ากลุ่มใหม่ๆได้อย่างรวดเร็ว, การมีโปรไฟล์ Social Media อย่างเพจ Facebook เพื่อให้พูดคุยกับลูกค้าได้ทันที, การใช้เทคนิค Remarketing หรืออีเมลเพื่อติดตามลูกค้า…

คุณจำเป็นต้องทำให้ทั้งหมดนี้ทำงานร่วมกันได้อย่างเหมาะสม เพื่อให้การตลาดออนไลน์ของคุณเป็นระบบที่คอยสร้างลูกค้ารายใหม่ๆให้กับธุรกิจของคุณ

เมื่อคุณทำทุกอย่างได้อย่างถูกต้อง คุณก็จะสามารถ…

  • เข้าถึงกลุ่มลูกค้าเป้าหมายที่ต้องการได้
  • สร้างยอดขายได้เพิ่มขึ้นจากการสร้างลูกค้ารายใหม่ๆหรือลูกค้าที่ธุรกิจมีอยู่แล้ว
  • ทำให้ธุรกิจเป็นที่รู้จักและน่าเชื่อถือมากขึ้นด้วยการใช้ประโยชน์จาก Social Media
  • ทำให้ลูกค้าตัดสินใจซื้อได้เร็วขึ้นเมื่อคุณให้สิ่งที่เขาต้องการจริงๆ
  • มีลูกค้ารายใหม่ๆเข้ามาใช้บริการธุรกิจอย่างต่อเนื่อง
  • วัดผลลัพธ์และความคุ้มค่าจากงบประมาณและสิ่งที่ทำลงไปทั้งหมดได้อย่างแม่นยำ

ทั้งนี้คุณอาจจะไม่ได้เห็นผลลัพธ์ทั้งหมดในทันที เพราะคุณจำเป็นที่จะต้องใช้เวลาในการทำทุกๆอย่างให้มีความเชี่ยวชาญ

แต่ก็ไม่ต้องกังวลไปครับ..

แม้คุณจะไม่เคยมีพื้นฐานใดๆเกี่ยวกับการตลาดออนไลน์มาก่อน คุณก็สามารถประสบความสำเร็จในการสร้างลูกค้าจากออนไลน์ให้กับธุรกิจของตัวเองได้เช่นกัน

สิ่งสำคัญก็คือ หากสินค้าและบริการของคุณมีคุณภาพและเป็นที่ต้องการของตลาดอยู่แล้ว… สิ่งที่คุณต้องทำก็มีเพียงการทำตามขั้นตอนทั้งหมดที่ผมกำลังจะบอกคุณนั่นเอง

เรามาเริ่มต้นกันที่ “วิธีการและกลยุทธ์” ที่จะพื้นฐานที่จะทำให้คุณสามารถสร้างลูกค้าให้กับธุรกิจได้ด้วยการทำการตลาดออนไลน์กันครับ

กลยุทธ์และวิธีทำการตลาดออนไลน์

การตลาดออนไลน์เป็นเรื่องเกี่ยวกับ “ลูกค้าของคุณ” ไม่ใช่ตัวคุณ, ธุรกิจของคุณ, หรือสินค้าและบริการของคุณ…

เป้าหมายของการตลาดออนไลน์ก็คือการทำให้เขารู้จักคุณ, ชอบคุณ, และไว้ใจคุณ เพื่อให้ลูกค้าคนนี้ซึ่งเป็นคนแปลกหน้าสำหรับธุรกิจของคุณมาก่อน กลายเป็นลูกค้าที่จ่ายเงินให้กับคุณ และพร้อมที่ซื้อสินค้าและบริการจากคุณอยู่เรื่อยๆ

ด้วยเหตุผลนี้เอง กลยุทธ์และวิธีทำการตลาดออนไลน์จึงเกี่ยวข้องกับเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างคุณและลูกค้าของคุณ

ความสัมพันธ์นี้จะถูกพัฒนาผ่าน “Customer Journey” ซึ่งเป็นกระบวนการที่ลูกค้าทุกๆคนของคุณจะต้องผ่าน… ซึ่ง Customer Journey จะเป็นสิ่งที่อธิบายว่าคนแปลกหน้าหนึ่งคนจะกลายเป็นลูกค้าของคุณได้อย่างไร รวมไปถึงการออธิบายว่าจะทำอย่างไรให้ลูกค้าของคุณกลายเป็นแฟนตัวยงของธุรกิจคุณ

กลยุทธ์การตลาดออนไลน์ที่จะทำให้คุณสามารถเปลี่ยนคนแปลกหน้าให้กลายเป็นลูกค้าที่ชื่นชอบธุรกิจของคุณและพร้อมจะซื้อสินค้าและบริการจากคุณซ้ำๆก็คือ…การทำความเข้าใจว่าลูกค้าแต่ละคนมีระดับการตัดสินใจและความต้องการที่แตกต่างกัน

ซึ่งการจะทำให้ลูกค้าแต่ละคนไว้ใจคุณมากขึ้นจนพร้อมที่จะซื้อจากคุณ… คุณจำเป็นที่จะต้องสร้างคอนเทนต์และมอบข้อเสนอที่ตอบโจทย์ความต้องการของเขา ณ ขณะนั้น

ทั้งนี้ เนื่องจากการที่คนหนึ่งคนซึ่งเป็นคนแปลกหน้าจะตัดสินใจมาเป็นลูกค้าที่จ่ายเงินให้กับคุณมักจะไม่ได้เกิดขึ้นในขั้นตอนเดียวหรือวันเดียว…

นี่คือ 4 ขั้นตอนเพื่อทำให้คุณสามารถยกระดับการตัดสินใจของเขาและสามารถการวางแผนการตลาดออนไลน์สำหรับธุรกิจของคุณเองได้

Customer Journey คืออะไร?

Customer Journey คือสิ่งที่จะอธิบายทั้งจุดเริ่มต้นและจุดสิ้นสุดของการทำการตลาดออนไลน์ทั้งหมดของคุณอย่างเป็นลำดับ… ซึ่งเป็นกระบวนการในการสร้างลูกค้าของธุรกิจคุณ ที่คนทุกคนจะต้องผ่านก่อนที่จะกลายเป็นลูกค้าที่ซื้อสินค้าและบริการจากคุณ

การทำความเข้าใจ Customer Journey ของธุรกิจถือว่ามีความสำคัญมาก เพราะมันจะส่งผลต่อการวางแผนการตลาดออนไลน์ของธุรกิจคุณด้วย

ทั้งนี้นี่คือ Customer Journey Map ซึ่งเป็นหน้าตาของกระบวนการทั้งหมดในการทำการตลาดออนไลน์

Customer Journey คืออะไร

ขั้นตอนที่ 1: Attract

ลูกค้าจะไม่สามารถซื้ออะไรจากคุณได้เลยหากเขาไม่รู้ว่าคุณกำลังทำธุรกิจอะไรอยู่ หรือมีสินค้าและบริการอะไรที่เขาต้องการ

ดังนั้นเป้าหมายแรกของการทำการตลาดออนไลน์ก็คือ การทำให้กลุ่มลูกค้าเป้าหมายเข้ามารู้จักกับธุรกิจของคุณก่อน… เพราะเมื่อเขาเริ่มรู้จักกับธุรกิจของคุณแล้ว เขาจะได้พิจารณาและตัดสินใจในภายหลังได้ว่า เขาอยากจะเป็นลูกค้าของคุณหรือไม่

การทำให้กลุ่มลูกค้าเป้าหมายเข้ารู้จักกับธุรกิจของคุณสามารถทำได้ด้วย “การดึงดูด” (Attract) โดยการนำเสนอคอนเทนต์ที่จะช่วยแก้ปัญหาให้กับลูกค้าของคุณในรูปแบบการเขียนบล็อก, ไฟล์สำหรับดาวน์โหลด, หรือโพสต์ใน Social Media

กล่าวอีกอย่างก็คือ ในขั้นตอน Attract นี้ คอนเทนต์ที่คุณนำเสนอในรูปแบบต่างๆก็เปรียบเสมือน “แม่เหล็ก” ที่จะดึงดูดกลุ่มลูกค้าเป้าหมายให้เข้ามาหาคุณ

เพราะเมื่อคุณนำคอนเทนต์นี้ไปปล่อยตามที่ต่างๆในอินเทอร์เน็ตซึ่งลูกค้าเป้าหมายของคุณอยู่… คนที่กำลังเผชิญปัญหาที่คุณนำเสนอในคอนเทนต์นั้น ก็จะวิ่งเข้าหาคอนเทนต์ของคุณเองหากเขาต้องการแก้ปัญหา

ตัวอย่างของวิธีทำการตลาดออนไลน์เพื่อดึงดูดกลุ่มลูกค้าเป้าหมายให้เข้ามารู้จักกับธุรกิจ เช่น:

  • พนักงานออฟฟิศที่ได้งานใหม่เห็นโฆษณาคอนโดใกล้ที่ทำงานใน Facebook
  • นักศึกษาที่กำลังดูวีดีโอรีวิวเปรียบเทียบแท็บเล็ตแต่ละยี่ห้อ
  • เจ้าของกิจการที่เซิจหาโต๊ะทำงานใหม่ใน Google

ในขั้นตอนนี้ ยิ่งคุณรู้จักลูกค้าของคุณดีเท่าไร คุณก็ยิ่งสามารถสร้างคอนเทนต์ที่ตรงกับความต้องการของเขามากเท่านั้น ซึ่งจะทำให้คุณได้ลูกค้าที่ธุรกิจต้องการจริงๆ

ขั้นตอนที่ 2: Convert

นี่คือขั้นตอนถัดมาหลังจากที่ลูกค้าเป้าหมายได้รู้จักกับธุรกิจของคุณแล้ว…

เขารู้แล้วว่าธุรกิจของคุณชื่ออะไร, คุณมีสินค้าและบริการอะไร, รวมไปถึงสิ่งที่คุณขายน่าจะเป็นประโยชน์กับเขาอย่างไร… แต่เขาก็ยังไม่ได้ตัดสินใจกลายเป็นลูกค้าของคุณ

เป็นเรื่องปกติที่คนส่วนใหญ่จะไม่ยอมจ่ายเงินให้กับคนที่เพิ่งรู้จักกันเพียงแค่ไม่กี่ชั่วโมงหรือไม่กี่วันเท่านั้น…

ทั้งนี้ก็เพราะทุกคนถูกสอนมาให้ระวังคนแปลกหน้า

ดังนั้นในการทำการตลาดออนไลน์คุณจึงไม่ควรคาดหวังว่าลูกค้าของคุณจะตัดสินใจซื้อในทันที และควรยอมรับตั้งแต่เนิ่นๆว่า คนส่วนใหญ่จะปฏิเสธที่จะซื้อจากคุณ

อย่างไรก็ดี การที่เขาปฏิเสธที่จะซื้อจากคุณวันนี้ไม่ได้หมายความว่าเขาจะปฏิเสธที่จะเป็นลูกค้าของคุณในอนาคต

นั่นจึงเป็นเหตุผลที่…

คุณจำเป็นต้องทำให้ลูกค้าเป้าหมายไม่เพียงแค่ “รู้จัก” กับธุรกิจของคุณ, แต่รวมไปถึง “ชอบ” และ “ไว้ใจ”

การที่คุณจะทำแบบนั้นก็คือ การพูดคุยกับเขาอย่างสม่ำเสมอผ่านคอนเทนต์ดีๆหรือข้อเสนอที่เขาได้ประโยชน์อย่างต่อเนื่อง

ตัวอย่างของวิธีทำการตลาดออนไลน์เพื่อให้ลูกค้าชอบและไว้ใจธุรกิจของคุณ เช่น:

  • ผู้หญิงวัยรุ่นที่ชอบออกกำลังกายติดตามเพจโยคะและดูวีดีโอของครูฝึกสอนในเพจ
  • ผู้ปกครองคนหนึ่งได้รับอีเมลจากสถาบันกวดวิชาเกี่ยวกับวิธีการจัดตารางอ่านหนังสือและเตรียมตัวสอบสำหรับนักเรียนมัธยม
  • ชายวัยกลางคนกำลังอ่านบล็อกเกี่ยวกับวิธีการดูแลและรักษารากฟันจากเว็บไซต์คลินิกทันตกรรม

เพื่อที่จะสร้างความไว้ใจ คุณจำเป็นต้องมีช่องทางการเข้าถึงลูกค้าซึ่งจะทำให้คุณสามารถพูดคุยและนำเสนอสิ่งดีๆให้กับเขาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งคุณสามารถทำได้โดยให้เขาติดตามเพจ, ลงทะเบียนรับข่าวสาร, บันทึกผู้เข้าชมเว็บไซต์ใน Remarketing List เพื่อให้เขาเห็นโฆษณาของคุณซ้ำๆ เป็นต้น

ขั้นตอนที่ 3: Close

ในขั้นตอนนี้ธุรกิจของคุณมีผู้ติดตามแล้ว รวมทั้งคุณมีการพูดคุยและสร้างความคุ้นเคยกับกลุ่มลูกค้าเป้าหมายอย่างต่อเนื่อง…

หากคุณนำเสนอแต่สิ่งที่เป็นประโยชน์กับเขาและสร้างความไว้ใจได้ ผู้ติดตามจำนวนหนึ่งของคุณก็จะยกระดับการตัดสินใจของตัวเองและมีความพร้อมที่จะซื้อ

นี่คือจุดที่ลูกค้าของคุณเริ่มรู้สึกว่า สิ่งที่คุณนำเสนอน่าจะสามารถช่วยแก้ปัญหาให้กับเขาได้จริงๆ… และคุณสามารถที่จะยื่นข้อเสนอต่างๆให้เขา “จ่ายเงิน” เพื่อซื้อสินค้าและบริการได้

อย่างไรก็ดี การจะทำให้ลูกค้าจ่ายเงินให้กับสินค้าและบริการที่มีราคาสูงมักจะใช้เวลานานกว่าสินค้าและบริการที่มีราคาต่ำ… ซึ่งหมายความว่า หากคุณขายสินค้าและบริการราคาสูง แต่ลูกค้ายังไม่รู้สึกไว้ใจคุณมากพอ เขาก็มีโอกาสที่จะปฏิเสธคุณ

ดังนั้นสิ่งที่คุณควรให้ความสำคัญในขั้นตอนนี้ไม่ใช่การนำเสนอสินค้าและบริการราคาสูงเพื่อให้คุณสามารถสร้างกำไรจำนวนมาก… แต่ควรเป็นสินค้าและบริการที่ราคาต่ำหรือไม่สูงมากเพื่อให้ลูกค้าตัดสินใจซื้อได้ง่ายขึ้น

ทั้งนี้เป้าหมายก็คือ การทำให้ลูกค้าแสดงความพร้อมออกมาด้วยการจ่ายเงิน และคุณมอบสินค้าและบริการที่ช่วยแก้ปัญหาให้กับเขาเพิ่มขึ้น ซึ่งจะทำให้เขาพร้อมจะจ่ายเงินเพิ่มขึ้นในภายหลัง

กล่าวคือ… ในขั้นตอน Close หรือปิดการขายนี้คือการยื่นข้อเสนอที่เปรียบเสมือการทดลองใช้สินค้าและบริการขั้นต้น เพื่อเป็นการสร้างความไว้ใจที่เขามีต่อบริการของคุณ ก่อนที่คุณจะขอให้เขาซื้อสินค้าและบริการอื่นๆที่มีราคาสูงขึ้นนั่นเอง

เมื่อลูกค้าหนึ่งคนตัดสินใจจ่ายเงินให้กับคุณแล้ว นั่นคือคุณได้ “คนที่เป็นลูกค้าจริงๆ” ซึ่งกำไรจะตามมาเองในภายหลัง

ตัวอย่างของวิธีทำการตลาดออนไลน์เพื่อสร้างลูกค้า เช่น:

  • เต๊นท์รถยนต์ที่ให้ผู้เยี่ยมชมทดลองขับก่อนตัดสินใจเซ็นต์สัญญา
  • กล่องเคเบิ้ลทีวีที่ให้ผู้ใช้งานทดลองใช้บริการสามเดือนแรกในราคาลด 50%
  • ฟิตเนสที่เปิดให้คนที่ไม่ได้เป็นสมาชิกรายเดือนเข้าร่วมคลาสออกกำลังกายโดยจ่ายเป็นครั้งๆ

ถึงแม้ว่าราคาของข้อเสนอสำหรับขั้นตอนนี้อาจจะสูงเพียงแค่หลักร้อยและอาจไม่ถึงพันบาท…

แต่เมื่อคนหนึ่งคนกลายเป็นลูกค้าของธุรกิจของคุณแล้ว เขาก็จะซื้อสินค้าและบริการอื่นๆที่มีราคาสูงขึ้น หรือซื้อซ้ำจากคุณโดยอัตโนมัติ หากเขาพอใจกับสิ่งที่ซื้อไปจากคุณครั้งแรก

ขั้นตอนที่ 4: Delight

คุณมีลูกค้าที่จ่ายเงินให้กับคุณแล้ว ขั้นตอนถัดไปก็คือการทำให้แน่ใจว่าเขาพอใจกับสินค้าและบริการที่ซื้อจากคุณไป… เพื่อให้เขาไว้ใจคุณมากขึ้นจนตัดสินใจซื้อสินค้าและบริการอื่นๆ จนถึงขั้นที่เขากล้าจะบอกต่อธุรกิจของคุณให้กับคนรู้จัก

ในขั้นตอนนี้หากลูกค้าของคุณไม่ชอบสิ่งที่ซื้อไป เขาก็อาจจะไม่ซื้ออะไรจากคุณอีกเลย

นั่นจึงเป็นเหตุผลที่คุณจำเป็นต้องใส่ใจกับผลตอบรับที่ได้จากลูกค้าแต่ละคน เพื่อให้คุณสามารถนำเสนอสินค้าและบริการที่ดีที่สุดให้กับลูกค้าของตัวเองได้

และหากเกิดข้อผิดพลาดที่ทำให้ลูกค้าของคุณไม่พอใจกับสิ่งที่ซื้อไป คุณก็ควรที่จะตามแก้ไขเพื่อทำให้เขาได้รับในสิ่งที่คาดหวัง…

ยิ่งลูกค้าพอใจกับสิ่งที่ซื้อไปจากคุณมากเท่าไร เขาก็จะยิ่งรู้สึกดีกับธุรกิจของคุณมากขึ้นเท่านั้น ซึ่งจะส่งผลให้เขากล้าซื้อสินค้าและบริการอื่นๆมากขึ้น และวงจรนี้ก็จะเกิดขึ้นซ้ำๆภายใน Customer Jouney อย่างต่อเนื่อง

นั่นหมายความว่าในขั้นตอนของการสร้างลูกค้าคุณอาจจะไม่ได้กำไรตั้งแต่ครั้งแรก (หรือแม้กระทั่งขาดทุน)… แต่เมื่อคุณนำลูกค้ามาสู่ขั้นตอนนี้ได้แล้ว กำไรก็จะเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเพราะคุณมีลูกค้าที่ซื้อซ้ำ และพร้อมที่จะจ่ายเงินซื้อในราคาที่สูงขึ้นนั่นเอง

ทั้งนี้เมื่อคุณมีลูกค้าที่จงรักภักดีกับแบรนด์ของคุณ ลูกค้าเหล่านี้ก็จะกลายเป็นคนที่ช่วยโปรโมทธุรกิจของคุณอีกด้วย

ตัวอย่างของวิธีทำการตลาดออนไลน์เพื่อสร้างยอดซื้อซ้ำและลูกค้าบอกต่อ เช่น:

  • เจ้าของร้านกาแฟที่จ้างกราฟิกดีไซเนอร์ให้ออกแบบโลโก้ธุรกิจชอบผลงานการออกแบบ จึงตัดสินใจจ้างทำเมนูและนามบัตรด้วย
  • หญิงวัยทำงานที่ทดลองใช้บริการเทรนเนอร์ส่วนตัว 2 ชั่วโมงแล้วตัดสินใจสมัครคอร์ส 30 ชั่วโมง
  • นักศึกษาใช้บริการร้านอาหารแล้วตัดสินใจสมัครสมาชิกเพื่อเป็นลูกค้าประจำ

เพื่อที่จะสร้างความไว้ใจลูกค้ามากขึ้นและทำให้เกิดการซื้อซ้ำ… คุณจำเป็นต้องมีช่องทางในการติดตามเพื่อนำเสนอสินค้าและบริการอย่างต่อเนื่อง ซึ่งอาจทำได้ด้วย Email Marketing, Retargeting Campaign, ระบบ CRM เป็นต้น

เมื่อคุณทราบแล้วว่าลูกค้าเป้าหมายของคุณจำเป็นต้องผ่านกระบวนการทั้งหมดนี้ สิ่งถัดมาที่คุณจะต้องทำก็คือการวางแผนเพื่อสร้างแคมเปญการตลาดออนไลน์ เพื่อสนับสนุนและส่งเสริมให้ลูกค้าแต่ละคนก้าวผ่านแต่ละขั้นตอนและยกระดับการตัดสินใจ

แคมเปญการตลาดออนไลน์

การจะทำให้ธุรกิจของคุณสามารถเปลี่ยนคนแปลกหน้าให้กลายเป็นลูกค้าที่ชื่นชอบธุรกิจของคุณ สิ่งที่คุณต้องมีก็คือ “แคมเปญ”

และเนื่องจากคุณไม่สามารถทำให้คนแปลกหน้ากลายเป็นลูกค้าทันทีได้ คุณจึงจำเป็นต้องมีแคมเปญการตลาดออนไลน์มากกว่าหนึ่งแคมเปญ เพื่อให้แต่ละแคมเปญทำหน้าที่ในแต่ละขั้นตอนของการยกระดับการตัดสินใจลูกค้า

เมื่อคุณสามารถวางแผนการสำหรับแต่ละขั้นตอนได้อย่างครบถ้วน ทุกแคมเปญก็จะทำงานร่วมกันอย่างสอดคล้องและธุรกิจของคุณก็จะมีกระบวนการในการเปลี่ยนคนแปลกหน้าเป็นลูกค้าอย่างสมบูรณ์

ที่สำคัญไปกว่านั้น การสร้างกระบวนนี้จะช่วยให้คุณสามารถพัฒนาธุรกิจให้เติบโตได้ดียิ่งขึ้น ด้วยการตรวจสอบและหาว่าส่วนไหนของกระบวนการทั้งหมดนี้ควรถูกปรับปรุง ซึ่งจะทำให้คุณสามารถแก้ไขได้เป็นจุดและได้ผลลัพธ์ตามเป้าหมายที่ต้องการ

แคมเปญการตลาดที่นำลูกค้าจากขั้น Attract ไป Convert

ตัวอย่าง:

  • คอนเทนต์: วีดีโอแนะนำธุรกิจ
  • ช่องทางการเข้าถึง: Facebook Ads
  • ผลลัพธ์ที่ต้องการ: ให้ลูกค้าติดตามเพจธุรกิจ

นี่เป็นแคมเปญแรกสุดสำหรับธุรกิจที่ไม่เพิ่งเปิดตัวและต้องการทำให้ธุรกิจเป็นที่รู้จักมากขึ้น

ในแคมเปญนี้ธุรกิจสามารถเริ่มต้นด้วยการสร้างวีดีโอแนะนำธุรกิจ เพื่อดึงดูดลูกค้าซึ่งยังไม่รู้จักกับสินค้าและบริการได้ให้เข้ามารู้จักและคุ้นเคยกับธุรกิจมากขึ้น โดยธุรกิจใช้ Facebook Ads เป็นช่องทางในการเข้าถึงลูกค้า เป็นต้น

เมื่อธุรกิจสามารถดึงดูดคนแปลกหน้าให้รับชมวีดีโอได้แล้ว ธุรกิจก็สามารถที่จะเสนอให้ลูกค้าติดตามเพจ เพื่อเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับสินค้าและบริการ

แคมเปญการตลาดที่นำลูกค้าจากขั้น Convert ไป Close

ตัวอย่าง:

  • คอนเทนต์: บทความให้ความรู้
  • ช่องทางการเข้าถึง: Google Organic
  • ผลลัพธ์ที่ต้องการ: ให้ลูกค้ารับส่วนลด 50% สำหรับบริการครั้งแรก

นี่เป็นตัวอย่างแคมเปญสำหรับธุรกิจที่เริ่มมีคนรู้จักและมีผู้ติดตามแล้ว และต้องการเริ่มต้นสร้างยอดขายและฐานลูกค้าเพิ่มขึ้น

ในแคมเปญนี้ธุรกิจอาจจะเขียนบทความให้ความรู้เกี่ยวกับสินค้าและบริการ หรือบทความเปรียบเทียบแบรนด์ของตัวเองกับคู่แข่งลงบนเว็บไซต์ เพื่อให้ลูกค้าที่กำลังค้นหาข้อมูลเพิ่มเติมบน Google ได้รับข้อมูลที่ตนเองต้องใช้ประกอบการตัดสินใจ

และเพื่อให้ธุรกิจสามารถยกระดับการตัดสินใจของลูกค้าได้ ธุรกิจอาจจะนำเสนอส่วนลด 50% สำหรับการใช้บริการครั้งแรก หรือให้ลูกค้าทดลองใช้บริการครั้งแรกโดยไม่มีค่าใช้จ่าย

แคมเปญการตลาดที่นำลูกค้าจากขั้น Close ไป Delight

ตัวอย่าง:

  • คอนเทนต์: โปรโมชั่นพิเศษสำหรับลูกค้าเก่า
  • ช่องทางการเข้าถึง: อีเมล
  • ผลลัพธ์ที่ต้องการ: ให้ลูกค้ากลับมาซื้อซ้ำ

นี่เป็นตัวอย่างแคมเปญสำหรับธุรกิจที่ต้องการสร้างยอดซื้อซ้ำจากฐานลูกค้าปัจจุบัน

ในแคมเปญนี้ธุรกิจสามารถส่งอีเมลหาลูกค้าที่เคยซื้อสินค้าไปแล้ว เพื่อนำเสนอโปรโมชั่นพิเศษในแต่ละเดือน ซึ่งจะทำให้เกิดยอดขายที่มากขึ้นได้

เนื่องจากคนกลุ่มนี้เป็นคนที่รู้จักและคุ้นเคยกับธุรกิจเป็นอย่างดี การนำเสนอโปรโมชั่นต่างๆให้กับลูกค้าที่เคยซื้อสินค้าและบริการไปแล้ว ย่อมทำให้เกิดยอดขายง่ายกว่าลูกค้าซึ่งเป็นคนแปลกหน้านั่นเอง

สิ่งที่ควรทราบเพิ่มเติมเกี่ยวกับแคมเปญการตลาดออนไลน์

ข้อผิดพลาดอย่างหนึ่งที่ทำให้หลายๆคนไม่ประสบความสำเร็จในการทำตลาดออนไลน์คิอ มักจะสร้างแคมเปญขึ้นมาเพียงแค่หนึ่งแคมเปญและคาดหวังว่าลูกค้าซึ่งคนแปลกหน้าจะตัดสินใจซื้อสินค้าและบริการทันที

การสร้างลูกค้าและยอดขายจากออนไลน์คือ “การเดินทาง” ของลูกค้าคุณจากจุดที่เขาไม่เคยรู้จักคุณมาก่อน ไปจนถึงจุดที่เขาตัดสินใจซื้อและคุ้นเคยกับแบรนด์ของคุณเป็นอย่างดี

ดังนั้นไม่ว่าคุณจะใช้ช่องทางใดในการเข้าถึงลูกค้า สิ่งที่คุณต้องคำนึงถึงเสมอก็คือ Customer Journey… เพราะนี่จะเป็นพื้นฐานทั้งหมดที่กำหนดทิศทางในการทำการตลาดออนไลน์ของคุณ รวมไปถึงว่าแคมเปญแต่ละแคมเปญของคุณจะมีหน้าตาอย่างไร

ทั้งหมดนี้ก็คือกระบวนการที่จะทำให้ธุรกิจของคุณสร้างลูกค้าจากออนไลน์เพิ่มขึ้นได้ ทีนี้เรามาพูดถึงขั้นตอนในการเริ่มต้นกันครับ

ขั้นตอนการทำการตลาดออนไลน์

อย่างที่คุณได้ทราบไปแล้วว่า การตลาดออนไลน์คือการทำให้ผู้คนเข้ามารู้จักธุรกิจและกลายเป็นลูกค้าของคุณด้วยการใช้ประโยชน์จากสื่อออนไลน์

สิ่งที่คุณทำทั้งหมดบนอินเทอร์เน็ตซึ่งมีเป้าหมายในการสร้างลูกค้า ไม่ว่าจะเป็นคอนเทนต์, แคมเปญ, โฆษณา, วีดีโอ หรืออะไรก็ตาม ก็นับเป็นการทำการตลาดออนไลน์ทั้งสิ้น…

ในส่วนนี้ผมอยากจะแบ่งมันออกเป็นหมวดหมู่ย่อยๆ เพื่อให้คุณสามารถเข้าใจขั้นตอนการทำการตลาดออนไลน์ได้ดีขึ้น และสามารถสร้างแคมเปญได้ตามเป้าหมายที่ต้องการ ดังนี้

  • Content Marketing
  • SEO – Search Engine Optimization
  • SEM – Search Engine Marketing
  • Social Media Marketing
  • Pay-per-click Advertising
  • Email Marketing

สิ่งเหล่านี้คือองค์ประกอบสำคัญที่อยู่ภายในแคมเปญต่างๆ และทำให้กระบวนการเปลี่ยนคนแปลกหน้าให้เป็นลูกค้าของคุณเป็นไปอย่างราบรื่น

เรามาเริ่มต้นกันที่สิ่งที่สำคัญที่สุด ซึ่งเป็นองค์ประกอบของทุกๆแคมเปญที่คุณจะสร้างขึ้นมา นั่นก็คือ “คอนเทนต์”

Content Marketing

คอนเทนต์คือสารที่คุณสื่อออกไปให้กับลูกค้าเป้าหมายในรูปแบบต่างๆ เช่น บทความ, วีดีโอ, เสียง, รูปภาพ เป็นต้น ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะทำให้ลูกค้ารู้จักคุณได้ดียิ่งขึ้น รวมไปถึงการที่เขาจะรู้สึกหรือจดจำแบรนด์ของคุณอย่างไร

เนื่องจากเป้าหมายของคุณก็คือการทำให้ผู้คนเข้ามารู้จักกับธุรกิจและกลายเป็นลูกค้า… คุณจำเป็นที่จะต้องใช้คอนเทนต์ในการสื่อสารกับลูกค้าของคุณ

ด้วยเหตุผลนี้เอง Content Marketing จึงเป็นหัวข้อที่สำคัญของการทำการตลาดออนไลน์ เพราะมันทำให้คุณสามารถสื่อสารกับกลุ่มลูกค้าเป้าหมายได้อย่างถูกต้อง และนำเสนอสิ่งที่เขากำลังต้องการจริงๆในแต่ละระดับของการตัดสินใจของ Customer Jouney

ขั้นตอนการทำ Content Marketing สำหรับแคมเปญการตลาดออนไลน์สามารถแบ่งได้ 3 ระดับดังนี้

Content Marketing

Top of the funnel (TOFU)

คนที่ไม่เคยรู้จักธุรกิจของคุณมาก่อน จะไม่สามารถซื้อสินค้าและบริการของคุณได้เลย หากเขาไม่รู้ว่าคุณมีตัวตนอยู่ หรือธุรกิจของคุณจะสามารถช่วยแก้ปัญหาอะไรให้กับเขา

คุณไม่สามารถคาดหวังว่าคนแปลกหน้าจะตัดสินใจซื้อสินค้าและบริการตั้งแต่ครั้งแรกที่เขารู้จักกับคุณ…

ดังนั้นในขั้นตอนแรกสุดของการทำ Content Marketing ก็คือการทำให้ลูกค้าเป้าหมายของคุณรู้ตัวว่าเขากำลังมีปัญหาอะไร หรือเขากำลังต้องการสินค้าและบริการอะไรที่จะช่วยแก้ปัญหาให้กับเขา

นี่เป็นขั้นตอนของการสร้าง “ความสนใจ” ให้กลุ่มเป้าหมายรู้จักธุรกิจของคุณมากขึ้น ด้วยคอนเทนต์ในรูปแบบต่างๆ เช่น:

  • บทความ
  • วีดีโอ
  • โพสต์บน Social Media
  • Ebook
  • Infographics

คอนเทนต์ที่คุณนำเสนออาจจะเป็นคอนเทนต์ที่ให้ความรู้ หรือคอนเทนต์ในลักษณะอื่นๆที่กลุ่มลูกค้าเป้าหมายของคุณสนใจ

เนื่องจากเป้าหมายของคอนเทนต์ใน TOFU นี้ก็คือการสร้างความสนใจและดึงกลุ่มเป้าหมายให้เข้ามารู้จักกับธุรกิจของคุณเท่านั้น… คุณจึงต้องมีคอนเทนต์ที่ใช้ทำให้ลูกค้าของคุณยกระดับการตัดสินใจเพิ่มขึ้น และรู้จักกับสินค้าและบริการของคุณเพิ่มเติมด้วย…

Middle of the Funnel (MOFU)

ในขั้นตอนนี้ เมื่อลูกค้าเป้าหมายของคุณรู้ถึงปัญหาที่เขามีและรู้แล้วว่าสินค้าและบริการของคุณน่าจะข่วยแก้ปัญหาของเขาได้อย่างไร… คุณก็จะต้องสนับสนุนเขาไปสู่การตัดสินอีกขั้นหนึ่ง

เป้าหมายหลักของการทำ Content Marketing สำหรับลูกค้าที่มีระดับการตัดสินใจอยู่ในขั้น MOFU ก็คือการทำให้เขากลายเป็น “ผู้สนใจ” (Lead)

คุณรู้แล้วว่ากลุ่มเป้าหมายนี้เริ่มมีความสนใจในธุรกิจของคุณ เพราะเขาเพิ่งแสดงให้คุณเห็นความต้องการของเขา ด้วยการให้ความสนใจกับคอนเทนต์ที่คุณนำเสนอไปก่อนหน้านี้…

ดังนั้นเพื่อทำให้เขามีความต้องการในสินค้าและบริการของคุณมากขึ้น คุณสามารถที่จะเริ่มยื่นข้อเสนอต่างๆที่จะทำให้เขาได้เริ่มกลายเป็นลูกค้าที่จ่ายเงินให้กับคุณ เช่น:

  • คูปองส่วนลด
  • วีดีโอแสดงวิธีการใช้งานสินค้า
  • คู่มือที่เป็นประโยชน์
  • โปรแกรมทดลอง
  • การให้คำปรึกษา

สิ่งเหล่านี้จะช่วยทำให้ลูกค้ารู้จักสินค้าและบริการของคุณมากขึ้น และทำให้เขาแน่ใจว่าธุรกิจของคุณคือตัวเลือกที่เหมาะสมก่อนคู่แข่ง เพราะเขาได้ประโยชน์จากสิ่งที่คุณมอบให้

Bottom of the Funnel (BOFU)

ลูกค้าของคุณรู้แล้วว่าเขามีปัญหาอะไร, เขาต้องการสินค้าและบริการมาช่วยแก้ปัญหา, และเขารู้ว่าธุรกิจของคุณคือหนึ่งในตัวเลือกที่เขาสามารถใช้ในการแก้ปัญหาได้…

เป้าหมายหลักของการทำ Content Marketing สำหรับลูกค้าที่กำลังมีความพร้อมที่จะซื้อก็คือ “การทำให้เขาซื้อ” ด้วยการมอบคอนเทนต์ที่จะช่วยให้เขาตัดสินใจได้ง่ายขึ้น

คอนเทนต์ต่างๆที่จะช่วยให้ลูกค้าใช้ประกอบการตัดสินใจ เช่น:

  • รีวิวจากลูกค้าคนอื่นๆ
  • สินค้าตัวอย่าง
  • โบรชัวร์เปรียบเทียบราคา
  • โปรโมชั่นพิเศษ
  • สิทธิพิเศษสำหรับลูกค้าใหม่

สิ่งที่คุณต้องให้ความสำคัญสำหรับลูกค้าในระดับ BOFU มีเพียงอย่างเดียวคือ ทำให้แน่ใจว่าทุกคนที่กำลังสนใจสินค้าและบริการของคุณตัดสินใจซื้อและกลายเป็นลูกค้า

ทั้งหมดนี้ก็เป็น 3 ขั้นตอนง่ายๆของการทำ Content Marketing

เนื่องจากลูกค้าของคุณใช้เหตุผลและมีกระบวนการตัดสินใจอย่างเป็นขั้นตอน หากคุณนำเสนอคอนเทนต์อย่างเป็นลำดับในช่วงเวลาที่เหมาะสมกับการตัดสินใจของเขา คุณก็จะสามารถเปลี่ยนคนแปลกหน้าให้กลายเป็นลูกค้าได้ไม่ยากเลย

แต่ยังไม่หมดเพียงแค่นั้น เมื่อคุณทำ Content Marketing อย่างถูกวิธี… นั่นคือคุณกำลังทำ SEO ไปในตัวและทำให้ลูกค้าหาธุรกิจของคุณเจอได้ง่ายขึ้นโดยไม่ต้องลงทุนแม้แต่บาทเดียว

SEO (Search Engine Optimization)

สิ่งหนึ่งที่มักจะถูกพูดถึงมากที่สุดในการทำการตลาดออนไลน์ ก็คือ การจะทำอย่างไรให้เว็บไซต์ถูกแสดงขึ้นมาในอันดับแรกๆ เมื่อลูกค้าค้นหาสินค้าและบริการ

และไม่ต้องสงสัยเลยว่าเหตุผลหนึ่งที่หลายๆคนต้องการให้เว็บไซต์ของตัวเองอยู่ในอันดับแรกๆของผลการค้นหาก็เนื่องจากว่า ยิ่งเว็บไซต์แสดงผลในอันดับที่สูงมากขึ้นเท่าไร ธุรกิจนั้นก็ยิ่งมีโอกาสสร้างลูกค้าและยอดขายมากขึ้นเท่านั้น

นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ SEO เข้ามามีบทบาทกับการทำการตลาดออนไลน์นั่นเอง

แต่เนื่องจาก SEO เป็นเรื่องที่ค่อนข้างซับซ้อน หากอธิบายง่ายๆ…

SEO หรือ Search Engine Optimization ก็คือ กระบวนการในการปรับแต่งและพัฒนาเว็บไซต์ทั้งด้านเทคนิคและคอนเทนต์ให้เซิจเอนจิ้น (เช่น Google) เลือกแสดงเว็บไซต์ของคุณก่อนเว็บไซต์อื่นๆ เมื่อกลุ่มเป้าหมายของคุณเลือกใช้คำค้นหาที่คุณต้องการ

การปรับแต่งสิ่งเหล่านี้ให้ถูกต้องตามหลัก SEO จะช่วยให้เซิจเอนจิ้นสามารถเข้าใจและมองเห็นเว็บไซต์ของคุณได้ดีขึ้น และเลือกจัดอันดับการแสดงผลของคุณไว้สูงกว่าเว็บไซต์อื่นๆที่ไม่ได้ทำ SEO

ทั้งนี้การทำ SEO สามารถถูกแบ่งออกเป็น 2 ด้านใหญ่ๆดังนี้:

  1. โครงสร้างและเทคนิค – มุ่งเน้นไปที่กลยุทธ์ด้านเทคนิคและปรับแต่งเว็บไซต์เพื่อเซิจเอนจิ้นโดยเฉพาะ
  2. คอนเทนต์ – มุ่งเน้นไปที่การสร้างคอนเทนต์คุณภาพเพื่อให้ผู้ใช้งานได้ประโยชน์มากที่สุด

คุณจำเป็นต้องทำทั้งสองอย่างนี้ควบคู่กันไปเพื่อให้คุณมีเว็บไซต์ที่เซิจเอนจิ้นมองเห็นได้ ในขณะที่ผู้ใช้งานซึ่งเป็นกลุ่มลูกค้าเป้าหมายก็ได้รับคอนเทนต์ที่เป็นประโยชน์จากเว็บไซต์ของคุณ

อย่างไรก็ดี สิ่งสำคัญที่จะช่วยให้การทำ SEO ของคุณเป็นไปอย่างยั่งยืนก็คือ “คอนเทนต์”

และหากคุณให้ความสำคัญกับคอนเทนต์เป็นอันดับแรก ด้วยการสร้างคอนเทนต์ที่เป็นประโยชน์กับกลุ่มเป้าหมายของคุณ, คอยอัพเดทอย่างต่อเนื่อง, และโปรโมทคอนเทนต์ให้คนมองเห็นมากขึ้น คุณก็แทบไม่ต้องกังวลกับส่วนที่เหลือเลย

การทำ SEO ให้เว็บไซต์ติดหน้าแรก

เซิจเอนจิ้นมีหน้าที่หลักคือ “ตอบคำถาม” ที่ผู้ค้นหาถามโดยเลือกแสดงผลเว็บไซต์ที่น่าจะเกี่ยวข้องกับคำค้นหาและตรงกับสิ่งที่ผู้ค้นหาต้องการมากที่สุด

ทั้งนี้ Google เลือกแสดงผลเว็บไซต์โดยเรียงลำดับตามคะแนนซึ่งมาจาก 200 กว่าปัจจัย เช่น:

  • เว็บไซต์นี้มีคีย์เวิร์ดที่คุณค้นหาหรือไม่
  • มีคีย์เวิร์ดใน URL หรือ Title ของเว็บไซต์หรือไม่
  • เนื้อหาเว็บไซต์เกี่ยวข้องกับคีย์เวิร์ดนั้นหรือไม่
  • เนื้อหาภายในเว็บไซต์มีคำที่มีความหมายคล้ายๆกันหรือเกี่ยวข้องกับคีย์เวิร์ดหรือไม่
  • เว็บไซต์คุณภาพเป็นอย่างไร
  • ค่า PageRank ของเว็บไซต์เป็นอย่างไร
  • เว็บไซต์มีลิงค์อื่นๆออกไปจำนวนเท่าไร
  • คุณภาพลิงค์เหล่านั้นเป็นอย่างไร
  • และอื่นๆอีกมากมาย

ด้วยปัจจัยทั้งหมดที่ Google กำหนด เว็บไซต์ต่างๆจะถูกประมวลผลด้วยกระบวนการทางคณิตศาสตร์ (Algorithms) และจัดอันดับคะแนนโดยรวม จากนั้น Google จะแสดงผลการค้นหาออกมาให้กับคุณโดยเรียงเว็บไซต์ตามคะแนนที่ได้

ดูซับซ้อนพอสมควรใช่มั้ยครับ?

แต่สิ่งที่จะทำให้ทุกอย่างง่ายขึ้นสำหรับคุณก็คือ การนึกถึงเสมอว่ากลุ่มเป้าหมายของคุณต้องการอะไร

เข้าใจพฤติกรรมของผู้ค้นหา

สิ่งที่หลายๆคนมักจะทำพลาดสำหรับการเริ่มต้นทำ SEO ก็คือพยายามปรับแต่งเว็บไซต์มากเกินไปหรือกังวลเกี่ยวกับปัจจัยอื่นๆที่ถูกกำหนดโดยเซิจเอนจิ้นมากกว่าผู้อ่านหรือผู้ค้นหา

เนื่องจากเซิจเอนจิ้นมีหน้าที่เพียงแค่แสดงผลการค้นหาที่สอดคล้องและดีที่สุดกับผู้ค้นหา…

แม้ว่าคุณจะรู้ปัจจัยที่มีผลต่ออันดับเว็บไซต์ทั้งหมดและพยายามปรับแต่งเว็บไซต์ให้ผ่านเงื่อนไขนั้นๆ เพื่อให้เซิจเอนจิ้นคิดว่าเว็บไซต์ของคุณดีและเหมาะสมจะแสดงในอันดับแรกๆ…

แต่หากเซิจเอนจิ้นคิดว่าเว็บไซต์ของคุณไม่สามารถตอบโจทย์ของผู้ค้นหาได้ คุณก็จะไม่ประสบความสำเร็จในการทำ SEO อยู่ดี

กลับกันหากเว็บไซต์ของคุณสามารถตอบโจทย์ผู้ค้นหาได้ อีกทั้งยังปรับแต่งได้ถูกต้องตามหลักการ เว็บไซต์ของคุณก็สามารถแสดงในอันดับแรกๆของการค้นหาได้ไม่ยากเลย

ทั้งนี้เนื่องจากการเข้าใจพฤติกรรมของผู้ค้นหาจะทำให้คุณประสบความสำเร็จในการทำอันดับเว็บไซต์… นี่การค้นหา 3 ประเภทหลักๆบนเซิจเอนจิ้นที่คุณควรทราบ:

  • คำค้นหาที่บ่งบอกความต้องการ
    การค้นหาประเภทนี้ผู้ค้นหาจะใช้คำค้นหาที่บ่งบอกสิ่งที่ตัวเองต้องการ เช่น “จองตั๋วเครื่องบิน”, “เช่าคอนโด”, “ซื้อรถยนต์มือสอง” เป็นต้น
  • คำค้นหาที่เป็นการสอบถามข้อมูล
    การค้นหาประเภทนี้จะถูกใช้เมื่อผู้ค้นหาต้องการอยากรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับสิ่งใดสิ่งหนึ่งเพิ่มเติม เช่น “รีวิวที่พักเชียงใหม่”, “ไอโฟน 8 ดีมั้ย?”, “วิธีทำพายบลูเบอร์รี่” เป็นต้น
  • คำค้นหาเว็บไซต์ต่างๆ
    การค้นหาประเภทนี้ผู้คนหาจะใช้คำค้นหาที่เป็นชื่อของเว็บไซต์หรือแบรนด์เป็นหลัก เช่น Facebook, Google Map, Pantip เป็นต้น

หากเซิจเอนจิ้นเป็นมนุษย์… คำถามที่มันถามตัวเองตลอดเวลาก็คือ “เว็บไซต์ที่กำลังจะแสดงผลขึ้นมาให้ผู้ค้นหาคือสิ่งที่ผู้ค้นหาต้องการหรือไม่?”

คุณเองก็ควรทำแบบเดียวกันด้วยการนึกอยู่เสมอว่า หากลูกค้าของคุณนึกถึงสินค้าหรือบริการของธุรกิจคุณ เขาจะค้นหาด้วยคำว่าอะไร และคุณจะทำให้เว็บไซต์ของคุณตอบคำถามและเป็นประโยชน์กับเขาที่สุดได้อย่างไร

เมื่อคุณทราบหลักการพื้นฐานแล้ว คำถามต่อมาก็คือ “คุณจะทำให้เซิจเอนจิ้นเลือกแสดงผลเว็บไซต์ของคุณก่อนเว็บไซต์อื่นๆได้อย่างไร?”

On-page SEO

ทุกๆการค้นหาจะต้องเริ่มต้นด้วย “คำค้นหา” หรือที่เราเรียกกันว่า “คีย์เวิร์ด”

คีย์เวิร์ดเป็นสิ่งสำคัญอันดับแรกๆที่คุณต้องให้ความสำคัญ…

ทั้งนี้ก็เพราะเซิจเอนจิ้นมีวิธีการของตัวเองเพื่อให้เข้าใจเนื้อหาภายในเว็บไซต์ของคุณได้ดีที่สุด เพื่อที่มันจะสามารถประเมินได้ว่าควรแสดงเว็บไซต์ของคุณก่อนเว็บไซต์อื่นหรือไม่ มันจึงใช้คีย์เวิร์ดเป็นเครื่องชี้ทาง

อาจกล่าวได้อีกอย่างว่า การใช้คีย์เวิร์ดจะช่วยเพิ่มโอกาสให้เซิจเอนจิ้นหาคุณเจอได้ง่ายขึ้น… และคีย์เวิร์ดนี้เองก็มีบทบาทในการทำ On-page SEO เป็นอย่างมาก

Keyword Research

การทำ SEO เริ่มต้นด้วยการทำ Keyword Research (การวิเคราะห์คีย์เวิร์ด) เพราะนี่คือคำค้นหา ที่ผู้ใช้งานแต่ละคนใช้เพื่อหาข้อมูลที่ตัวเองต้องการ

เพื่อให้เว็บไซต์ของคุณแสดงก่อนคู่แข่งและแสดงต่อกลุ่มเป้าหมาย คุณต้องวางแผนว่าจะเลือกใช้คีย์เวิร์ดใดบ้างสำหรับการทำอันดับ SEO…

ซึ่งเราสามารถแบ่งกลุ่มของวิธีการเลือกคีย์เวิร์ดออกเป็น 2 แบบกว้างๆคือ:

  • Long-tail Keyword: คีย์เวิร์ดที่มีความเฉพาะเจาะจงซึ่งประกอบไปด้วยคำหรือกลุ่มคำอย่างน้อย 3-5 คำ การเลือกคีย์เวิร์ดประเภทนี้มักจะมีการแข่งขันที่ต่ำ อีกทั้งยังทำให้คุณได้ผู้เข้าชมเว็บไซต์ที่มีคุณภาพมากขึ้น แต่ในขณะเดียวกันก็ต้องแลกเปลี่ยนด้วยจำนวนผู้ค้นหาที่น้อยลง
  • Short-tail Keyword: ตรงกันข้ามกับคีย์เวิร์ดแบบ Long-tail… นี่คือคำค้นหาที่เป็นคำแบบกว้างๆเพียงแค่ 1-2 คำเท่านั้น คีย์เวิร์ดประเภทนี้จะเป็นคำทั่วๆไปซึ่งมีจำนวนผู้ค้นหาเยอะและการแข่งขันสูง

วิธีการทำ SEO ที่ดีก็คือการใช้คีย์เวิร์ดทั้งสองประเภทนี้ร่วมกันในเว็บไซต์ เพื่อให้ธุรกิจสามารถสร้างผู้เข้าชมที่มีจำนวนเหมาะสมและมีคุณภาพ

ทั้งนี้คุณภาพของผู้เข้าชมเว็บไซต์จะเป็นสิ่งที่ส่งผลต่อ Conversion Rate ซึ่งเป็นการกระทำต่างๆที่เป็นผลลัพธ์ที่ธุรกิจต้องการจากผู้เข้าชมนั่นเอง

กล่าวคือ… คุณไม่ได้ต้องการเพียงแค่ผู้เข้าชมเว็บไซต์ที่เข้ามาและออกไปเท่านั้น แต่เป็นผู้เข้ามาชมเว็บไซต์ที่เข้ามาอ่านหรือรับชมคอนเทนต์จริงๆ และแสดงให้คุณเห็นว่าเขาสนใจธุรกิจของคุณด้วยการตัดสินใจซื้อ, ลงทะเบียน, โทรศัพท์ติดต่อคุณ, แอดไลน์ เป็นต้น

เครื่องมืออย่าง Ubersuggest และ Keyword Planner สามารถช่วยคุณในกระบวนการวิเคราะห์คีย์เวิร์ดนี้ได้ และเมื่อคุณได้คีย์เวิร์ดที่ต้องการแล้ว… เราก็จะนำคีย์เวิร์ดเหล่านั้นมาปรับแต่งบนเว็บไซต์ในขั้นตอนถัดไป

Title Tag & Meta Description

ทุกครั้งที่กลุ่มเป้าหมายของคุณทำการค้นหาบนเซิจเอนจิ้น เขาจะเห็นเว็บไซต์ต่างๆแสดงขึ้นมา

สิ่งที่แสดงอยู่บนผลการค้นหาของแต่ละเว็บไซต์ก็คือ Title Tag และ Meta Description ซึ่งทั้งสองอย่างนี้จะเป็นสิ่งที่ดึงดูดให้ผู้ค้นหาคนนั้นเลือกคลิกเข้าชมเว็บไซต์ของคุณ

Title Tag & Meta Description

การตั้งค่า Title Tag และ Meta Description ด้วยการใช้คีย์เวิร์ดที่คุณได้จากขั้นตอน Research จะเป็นการเน้นย้ำกับเซิจเอนจิ้นว่าเนื้อหาของเว็บไซต์คุณนั้นเกี่ยวกับอะไร, คุณต้องการทำอันดับคีย์เวิร์ดใด, อีกทั้งยังช่วยให้ผู้ค้นหารู้สึกว่าเว็บไซต์ของคุณมีข้อมูลที่เขากำลังมองหา

ดังนั้นการตั้ง Title Tag และ Meta Description ที่ดีนั้นควรจะประกอบไปด้วยคีย์เวิร์ดสัก 2-3 คำ รวมทั้งอ่านได้ง่ายและไม่ยาวจนเกินไปเพื่อให้แสดงผลได้อย่างเหมาะสมบนหน้าการค้นหา

การที่คุณใช้วิธีการนี้จะช่วยให้ผู้ค้นหาคลิกเข้าชมเว็บไซต์ของคุณมากขึ้น และช่วยเพิ่มโอกาสในการแสดงอันดับเว็บไซต์ที่สูงขึ้น…

นอกเหนือไปจากการใช้คีย์เวิร์ดที่คุณได้มาในการเขียนคอนเทนต์ที่ตรงกับสิ่งที่กลุ่มเป้าหมายต้องการ, การตั้งค่า Title Tag และ Meta Desciption แล้ว…

คุณยังสามารถใช้มันในโครงสร้าง URL ซึ่งจะช่วยให้เซิจเอนจิ้นเข้าใจเว็บไซต์ของคุณได้ดียิ่งขึ้น

ขั้นตอนถัดมาสิ่งที่จะขาดไม่ได้เลยในขั้นตอนของการทำ SEO ก็คือการทำให้เว็บไซต์สามารถแสดงผลได้อย่างเหมาะสมบนทุกอุปกรณ์

การรองรับการแสดงผลบนอุปกรณ์เคลื่อนที่ (Mobile-friendliness)

ปัจจัยนี้มีความสำคัญมากในปัจจุบันเนื่องจากผู้คนหันไปใช้งานอุปกรณ์เคลื่อนที่กันมากขึ้น… ไม่ว่าจะเป็นโทรศัพท์มือถือหรือแท็บเล็ต

ทั้งนี้ในมุมมองของเซิจเอนจิ้นหากมีการทำการค้นหาผ่านอุปกรณ์เคลื่อนที่แล้วเว็บไซต์ไม่รองรับการแสดงผลที่ดี นั่นย่อมทำให้ผู้ใช้งานไม่สะดวกกับการค้นหาข้อมูลที่ตัวเองต้องการ

การรองรับการแสดงผลนี้จึงมีผลอย่างมากต่อการทำ SEO และเซิจเอนจิ้นมักจะเลือกเว็บไซต์ที่รองรับการแสดงผลบนอุปกรณ์เคลื่อนที่นี้ให้มีอันดับที่ดีกว่าเสมอ

การรองรับการแสดงผลบนอุปกรณ์เคลื่อนที่ (Mobile-friendliness)

ดังนั้นในกระบวนการของการสร้างเว็บไซต์ คุณควรระลึกไว้เสมอว่าเว็บไซต์ของคุณจะต้องสามารถแสดงผลบนสมาร์ทโฟนหรือแท็บเล็ตได้ดีไม่ต่างจากโน้ตบุ๊คและคอมพิวเตอร์

ความเร็วในการโหลด

อีกหนึ่งปัจจัยที่สำคัญสำหรับการทำ SEO ก็คือความเร็วในการโหลดเว็บไซต์ของคุณ

ทั้งนี้เนื่องจากหากเว็บไซต์ของคุณใช้เวลาในการโหลดที่นานเกินไป ผู้ค้นหาก็อาจจะปิดเว็บไซต์คุณทิ้งไปก่อนที่จะได้อ่านคอนเทนต์…

ซึ่งหากสิ่งนั้นเกิดขึ้น เซิจเอนจิ้นก็จะเริ่มมองว่าเว็บไซต์ของคุณมีคุณภาพต่ำและไม่เหมาะกับผู้ใช้งานนั่นเอง

คุณสามารถตรวจสอบคุณภาพความเร็วในการโหลดเว็บไซต์ได้จาก Pagespeed Insights เพื่อหาว่ามีอะไรอีกหรือไม่ที่คุณสามารถปรับปรุงและพัฒนาได้ เพื่อให้เว็บไซต์มีความเร็วในการโหลดเร็วขึ้น เช่น การบีบอัดไฟล์ภาพให้มีขนาดเล็กลง, หรือการใช้โฮสต์ที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น

เมื่อคุณใส่ใจกับความเร็วในการโหลดของเว็บไซต์ ผู้เข้าชมก็จะอยู่บนเว็บไซต์ของคุณนานขึ้น

ตรงนี้จะส่งผลให้เว็บไซต์ของคุณมีอันดับที่ดีขึ้น อีกทั้งยังช่วยเพิ่ม Conversion Rate เพราะคุณไม่เสียผู้เข้าชมไปฟรีๆจากการที่เขารอเว็บไซต์ที่โหลดช้าไม่ไหวนั่นเอง

HTTPS/SSL

สำหรับเซิจเอนจิ้นแล้วความปลอดภัยของผู้ใช้งานเป็นเรื่องที่สำคัญมาก HTTPS จึงถูกนำเข้ามาเป็นปัจจัยที่ใช้ในการประเมินคุณภาพของเว็บไซต์ด้วย

อย่าลืมทำให้แน่ใจว่าเว็บไซต์ของคุณแสดงผลเป็น HTTPS นำหน้าชื่อเว็บไซต์ แทนที่จะเป็น HTTP เพราะนอกเหนือไปจากการทำให้เซิจเอนจิ้นไว้ใจเว็บไซต์ของคุณมากขึ้น ผู้ใช้งานก็จะใช้งานเว็บไซต์ของคุณได้อย่างสบายใจว่าข้อมูลของเขาจะไม่รั่วไหลเช่นกัน

HTTPS SSL

ทั้งนี้ผู้ให้บริการโฮสติ้งรายใหญ่ๆมักมีบริการเพิ่มเติมด้าน SSL นี้มาให้อยู่แล้ว หรือหากไม่มีคุณก็สามารถติดตั้ง SSL ให้กับเว็บไซต์ด้วยตัวเองผ่าน Cloudflare ได้เช่นกัน

หลังจากที่คุณติดตั้ง SSL แล้วโดเมนของคุณจะเปลี่ยนจาก HTTP เป็น HTTPS ทันที

Off-Page SEO

สิ่งที่เราเพิ่งพูดถึงกันไปในหัวข้อ On-Page SEO ก็คือการปรับแต่งทุกอย่างที่อยู่บนเว็บไซต์ของคุณ

Off-Page SEO ก็คือด้านตรงข้ามของ On-page SEO ซึ่งเป็นการมุ่งเน้นไปที่การปรับแต่งอื่นๆซึ่งอยู่นอกเหนือจากเว็บไซต์ของคุณนั่นเอง

การทำ Off-page SEO นี้มีความสำคัญเนื่องจากจะเป็นการสร้างความน่าเชื่อถือและเครดิตให้กับเว็บไซต์เพื่อให้เซิจเอนจิ้นทราบว่ามีผู้คนมากมายชอบเว็บไซต์ของคุณ

สิ่งที่คุณสามารถทำได้ในส่วนของ Off-page SEO เพื่อให้เว็บไซต์แสดงในอันดับที่สูงขึ้นประกอบไปด้วย:

ลิงค์ (Links/Backlinks)

แม้ว่าจะมีปัจจัยอื่นๆมากมายที่นำมาประเมินคุณภาพของว็บไซต์ แต่ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า Backlink เป็นปัจจัยที่สำคัญที่สุดของการทำ Off-Page SEO

การที่เว็บไซต์ของคุณเป็นที่นิยม มีผู้ค้นมากมายชื่นชอบ มีความน่าเชื่อถือ ย่อมหมายถึงจะมีลิงค์มากมายจากเว็บไซต์อื่นๆชี้เข้ามาที่เว็บไซต์ของคุณ

ตรงนี้เองจะเป็นสัญญาณบ่งบอกเซิจเอนจิ้นว่าเว็บไซต์ของคุณมีความน่าเชื่อถือและเป็นที่นิยมเพียงใด ซึ่งการที่เว็บไซต์ของคุณได้รับการพูดถึงในเว็บไซต์อื่นๆนี้ ก็เปรียบเสมือนคะแนนโหวต Popular ซึ่งจะมีผลอย่างมากในการทำ SEO ให้ประสบความสำเร็จ

Off-Page SEO

อย่างไรก็ดี สิ่งที่คุณควรระวังก็คือ… แม้จะมีลิงค์มากมายจากเว็บไซต์อื่นๆชี้มาที่เว็บไซต์ของคุณนั่นก็ไม่ได้หมายความว่าเว็บไซต์ของคุณจะน่าเชื่อถือเสมอไปเพราะเซิจเอนจิ้นจะพิจารณาคุณภาพของเว็บไซต์เหล่านั้นที่ลิงก์มาหาคุณด้วย

หากคุณมีลิงค์มากมายจากเว็บไซต์ที่ไม่มีคุณภาพและไม่มีความเกี่ยวข้องใดๆกับเนื้อหาเว็บไซต์ของคุณ เซิจเอนจิ้นก็อาจตัดสินว่าคุณได้ทำการสแปมลิงค์และควรจะลดคะแนน SEO ของคุณลง

แต่ในขณะเดียวกันหากเว็บไซต์อื่นๆที่ลิงค์มามีคุณภาพสูงและมีความน่าเชื่อถืออยู่แล้ว เซิจเอนจิ้นก็จะมองว่าคุณได้รับคะแนนโหวตจากเว็บไซต์นี้มีความน่าเชื่อถือสูง ซึ่งหมายถึงเว็บไซต์ของคุณเองก็น่าจะมีความน่าเชื่อถือในระดับหนึ่ง และส่งผลให้คะแนน SEO ของเว็บไซต์คุณสูงขึ้น

ตัวชี้วัดคุณภาพของลิงค์สำหรับเซิจเอนจิ้นได้แก่:

  • จำนวน – ยิ่งคุณมีจำนวนลิงค์จากเว็บไซต์อื่นมากเท่าไรยิ่งดี
  • คุณภาพ – ยิ่งเว็บไซต์อื่นที่ลิงค์มาที่เว็บไซต์ของคุณมีความน่าเชื่อถือหรือคุณภาพมากเท่าไรยิ่งดี
  • ความเกี่ยวข้อง – ลิงค์ที่คุณได้รับมาจากเว็บไซต์ที่มีเนื้อหาเกี่ยวข้องกับเว็บไซต์ของคุณมากเพียงใด
  • ระยะเวลา – ลิงค์เหล่านั้นมีระยะเวลาในการสร้างนานเพียงใด ทั้งนี้เนื่องจาก Google ไม่ต้องการให้คุณจ่ายเงินเพื่อซื้อลิงค์จากเว็บไซต์อื่นๆนั่นเอง อีกทั้งการได้รับลิงค์จากเว็บไซต์อื่นๆอย่างสม่ำเสมอยังเป็นสัญญาณบอกเซิจเอนจิ้นอีกด้วยว่าเว็บไซต์ของคุณเป็นที่นิยมและมีคอนเทนต์ที่เป็นปัจจุบัน

หากคุณต้องการเพิ่ม Backlink ให้กับเว็บไซต์ ลองติดต่อเว็บไซต์อื่นๆที่อยู่ในอุตสาหกรรมเดียวกันกับธุรกิจคุณ หรือมีคอนเทนต์คล้ายคลึงกัน เพื่อให้เขาพูดถึงเว็บไซต์ของคุณก็สามารถทำได้เช่นกัน

Anchor Text

การที่เว็บไซต์อื่นๆลิงค์มาที่เว็บไซต์ของคุณ… ลิงค์เหล่านั้นอาจเป็นชื่อโดเมนหรือเป็นเพียงข้อความสั้นๆก็ได้

Anchor Text ก็คือข้อความที่สามารถคลิกได้และนำผู้คลิกเข้ามาที่เว็บไซต์ของคุณ ซึ่งการที่ลิงค์จากเว็บไซต์อื่นใช้ Anchor Text ซึ่งเป็นคีย์เวิร์ดที่ถูกต้องก็จะช่วยเพิ่มโอกาสการทำอันดับของเว็บไซต์ได้ดียิ่งขึ้น

ทั้งนี้อย่างที่ได้กล่าวไปแล้วว่าคุณภาพของเว็บไซต์อื่นๆที่ลิงค์มาที่เว็บไซต์ของคุณนั้นค่อนข้างมีความสำคัญ…

แม้ว่าคุณจะมีลิงค์มากมายที่เข้ามาและมี Anchor Text ที่มีคีย์เวิร์ดที่ต้องการแต่คุณจะไม่สามารถทำอันดับได้หากเว็บไซต์ที่ลิงค์มามีเนื้อหาไม่เกี่ยวข้องกับเว็บไซต์ของคุณ เช่น การที่เว็บไซต์เกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์มีลิงค์มาจากเว็บไซต์ขายของเล่นเด็ก เป็นต้น

ดังนั้นอย่าลืมให้ความสำคัญกับคอนเทนต์ของเว็บไซต์ที่คุณจะสร้าง Backlink ด้วย

การแชร์บนโซเชียล

การที่เว็บไซต์ของคุณถูกพูดถึงบ่อยๆบน Social Media อย่าง Facebook, Twitter หรือ Google+ จะสามารถช่วยเพิ่มคะแนน SEO ให้กับคุณได้เช่นกัน

ทั้งนี้แม้ว่าเซิจเอนจิ้นจะมองลิงค์จากโซเชียลแตกต่างจากลิงค์เว็บไซต์ทั่วไป แต่หลักการก็ยังเหมือนเดิมเสมอนั่นคือ จำนวนการแชร์เว็บไซต์ของคุณมีมากน้อยเพียงใดและใครเป็นคนแชร์เว็บไซต์ของคุณ

เนื่องจากเซิจเอนจิ้นมองการแชร์บนโซเชียลเป็นสัญญาณที่บอกว่าเว็บไซต์ที่มีเนื้อหาคุณภาพ อย่าลืมที่จะโปรโมทเว็บไซต์ของคุณบน Social Media ทุกครั้งที่คุณมีคอนเทนต์หรือบทความใหม่ๆ

ยังมีปัจจัยอื่นๆมากมายซึ่ง Google นำมาวัดคะแนนและประเมินเว็บไซต์ของคุณ แต่แม้ว่านี่จะเป็นเพียงพื้นฐานสำหรับการทำ Off-page SEO การทำตามคำแนะนำข้างต้นก็จะสามารถทำให้เว็บไซต์ของคุณสามารถมีอันดับที่ดีขึ้นได้อย่างชัดเจนแน่นอน

ขั้นตอนถัดมา เรามาเพิ่มประสิทธิภาพด้านการถูกมองเห็นบนเซิจเอนจิ้นด้วย ​SEM กันครับ

SEM (Search Engine Marketing)

เนื่องจาก SEO เป็นกระบวนการที่ใช้เวลาค่อนข้างนานเพื่อที่จะเห็นผลลัพธ์ (อาจจะอย่างน้อย 3 เดือนถึง 1 ปีหากคุณทำทุกอย่างถูกต้อง)…

ดังนั้นแทนท่ีจะรอดูผลลัพธ์ซึ่งไม่รู้ว่าเกิดขึ้นเมื่อไร คุณสามารถที่จะจ่ายเงินเพื่อทำให้เว็บไซต์ของคุณแสดงขึ้นมาบนเซิจเอนจิ้นได้ทันทีเมื่อลูกค้าทำการค้นหา

SEM หรือ Search Engine Marketing ก็คือด้านตรงข้ามของการทำ SEO นั่นเอง

กล่าวคือ SEO เป็นกระบวนการในการทำให้เว็บไซต์ของคุณแสดงผลขึ้นมาแบบออร์แกนิค (ไม่เสียเงิน) ในขณะที่ SEM เป็นการทำให้เว็บไซต์แสดงผลขึ้นมาด้วยการจ่ายเงินให้กับเซิจเอนจิ้น

อาจเรียกได้ว่านี่เป็นวิธีการที่รวดเร็วที่สุดที่จะทำให้คุณได้ลูกค้า เพราะธุรกิจที่ลงโฆษณาบนเซิจเอนจิ้น จะสามารถแสดงผลในอันดับที่สูงกว่าออแกร์นิค ซึ่งหมายถึงคุณจะได้ผู้เข้าชมที่มีคุณภาพจำนวนมากเช่นกัน

ขั้นตอนการทำ SEM

ในการทำการตลาดช่องทางอื่นๆเช่นการตลาดแบบออฟไลน์… คุณจำเป็นที่จะต้องมีงบประมาณจำนวนมาก ซึ่งอาจจะเป็นหลักหลายๆหมื่นหรือหลายๆแสนสำหรับการเริ่มต้น เพื่อให้โฆษณาของคุณแสดงให้กับคนจำนวนมากที่ไม่ได้สนใจสินค้าและบริการของคุณเลย (เช่น ป้ายโฆษณาบนทางด่วน, ใบปลิว, โทรทัศน์ เป็นต้น)

แต่สำหรับการทำ SEM อย่าง Google Ads แล้ว คุณสามารถกำหนดงบประมาณของคุณได้ตามต้องการ และจ่ายเงินเมื่อมีคนคลิกโฆษณาเท่านั้น

ทั้งนี้ค่าใช้จ่ายของคุณจะขึ้นอยู่กับคีย์เวิร์ดที่คุณเลือก… บางคีย์เวิร์ดอาจจะมีราคาแค่ไม่กี่บาท… ในขณะที่บางคีย์เวิร์ดอาจจะมีราคาสูงถึงหลักหลายร้อยหรือพันบาท

เนื่องจากคุณจำเป็นต้องเสียเงินให้กับ Google เพื่อสร้างคนเข้าชมเว็บไซต์…

วิธีการที่ดีที่สุดที่จะทำให้คุณประสบความสำเร็จในการทำ SEM นี้ก็คือการสร้างยอดขายให้ได้มากกว่าค่าโฆษณาที่คุณจ่ายออกไป ซึ่งสามารถทำได้ด้วยขั้นตอนต่อไปนี้

เริ่มต้นด้วยสินค้าและบริการ

คุณไม่สามารถที่จะสร้างยอดขายได้เลยหากธุรกิจของคุณไม่มีสินค้าและบริการให้กับลูกค้า…

ซึ่งการทำ SEM โดยไม่ขายสินค้าและบริการใดๆจะเป็นช่องทางที่เร็วที่สุดที่คุณจะทำให้คุณเสียเงินจำนวนมากโดยไม่ทันตั้งตัว

นั่นหมายความว่า SEM จะไม่เหมาะกับธุรกิจของคุณเลยหากคุณเพียงแค่ต้องการให้คนเข้ามารู้จักธุรกิจของคุณมากขึ้นด้วยการนำเสนอคอนเทนต์ฟรี และไม่ได้คิดจะขายสินค้าและบริการใดๆ…

เลือกคีย์เวิร์ด

เช่นเดียวกันกับการทำ SEO คีย์เวิร์ดเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดที่จะกำหนดความสำเร็จแคมเปญ SEM ของคุณ

เนื่องจาก SEM คือการทำการตลาดบนเซิจเอนจิ้น… คุณจำเป็นต้องทราบว่าคีย์เวิร์ดใดเป็นคีย์เวิร์ดที่มีแนวโน้มจะสร้างยอดขายให้กับธุรกิจ และเลือกคีย์เเวิร์ดเหล่านั้นมาใช้สำหรับการเริ่มต้นแคมเปญ

คุณสามารถใช้เครื่องมือ Keyword Planner ภายในแอคเคาท์ Google Ads เพื่อวิเคราะห์คีย์เวิร์ดด้วยหลักการเดียวกับการทำ SEO

เลือกคีย์เวิร์ด

ทั้งนี้สิ่งที่คุณต้องใส่ใจเพิ่มขึ้นมาก็คือ “ค่าคลิก”

โดยเคล็ดลับก็คือการเลือกคีย์เวิร์ดที่ค่าคลิกไม่สูงเกินไป, การแข่งขันต่ำ, และเป็นคีย์เวิร์ดที่บ่งบอกพฤติกรรมของผู้ค้นหาว่าเขากำลังมองหาสินค้าและบริการของคุณ

สร้าง Landing Page

เมื่อได้คีย์เวิร์ดที่ต้องการแล้ว ขั้นตอนถัดมาก็คือการสร้าง Landing Page ซึ่งเป็นหน้าเว็บไซต์สำหรับนำเสนอสินค้าและบริการของคุณ

ข้อผิดพลาดหนึ่งที่ทำให้หลายๆคนไม่ประสบความสำเร็จกับการทำ SEM ก็คือใช้หน้าเว็บไซต์หลัก (Homepage) มาเป็น Landing Page ในแคมเปญโฆษณา

ทั้งนี้ก็เพราะลูกค้าของคุณกำลังต้องการเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับสินค้าและบริการของคุณ แต่หน้าเว็บไซต์หลักโดยทั่วไปของธุรกิจมักจะไม่ได้ให้ข้อมูลที่เพียงพอ ซึ่งส่งผลให้ผู้เข้าชมจำนวนมากเข้ามาในเว็บไซต์และออกไปโดยไม่ได้ตัดสินใจติดต่อคุณเข้ามาและซื้อสินค้าและบริการใดๆ

ดังนั้นอย่าลืมที่จะสร้างหน้า Landing Page ที่ให้ข้อมูลกับกลุ่มเป้าหมายของคุณอย่างครบถ้วน

ตั้งค่า Conversion Tracking

คุณไม่ต้องการที่จะเสียค่าโฆษณาไปอย่างเปล่าประโยชน์โดยไม่สามารถสร้างลูกค้าและยอดขายกลับมาถูกมั้ยครับ?

เพื่อที่จะทำให้คุณสามารถวัดผลลัพธ์ของแคมเปญได้อย่างถูกต้อง คุณจำเป็นที่จะต้องตั้งค่า Conversion Tracking ภายในแอคเคาท์ของคุณ

การตั้งค่า Conversion Tracking นี้จะทำให้คุณสามารถวัดผลได้ว่า ค่าโฆษณาที่คุณจ่ายออกไปสามารถสร้างลูกค้าและยอดขายกลับมาได้เป็นจำนวนเท่าไร…

ซึ่งหากคุณขาดขั้นตอนนี้ไป คุณก็ไม่สามารถรู้ได้เลยว่าแคมเปญของคุณประสบความสำเร็จหรือไม่

เมื่อคุณทำทั้งหมดนี้ครบแล้ว ขั้นตอนที่เหลือก็คือการสร้างแคมเปญและโฆษณาขึ้นมาภายในแอคเคาท์ของคุณ และนำผลลัพธ์ที่ได้มาปรับปรุงและพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะทำให้คุณประสบความสำเร็จกับการทำ SEM ได้

หากคุณต้องการเริ่มต้นใช้งาน Google Ads เพื่อสร้างลูกค้าให้กับธุรกิจ คุณอาจจะสนใจคู่มือเล่มนี้ซึ่งผมอธิบายวิธีการทั้งหมดโดยละเอียด

มาถึงตรงนี้ คุณได้ทราบแล้วว่าจะใช้เซิจเอนจิ้นในการเข้าถึงกลุ่มลูกค้าเป้าหมายของคุณอย่างไร…

แต่สิ่งที่ทำให้แคมเปญการตลาดออนไลน์ของคุณสามารถสร้างลูกค้าได้รวดเร็วขึ้นไปอีกก็คือ Social Media Marketing

Social Media Marketing

สิ่งที่สำคัญที่สุดของการทำการตลาดออนไลน์ก็คือ “การสื่อสาร”…

ซึ่งเป็นเรื่องของวิธีที่คุณสื่อสารกับลูกค้าเพื่อให้เขาได้รับในสิ่งที่ต้องการและยกระดับการตัดสินใจด้วยตัวของเขาเอง

ด้วยเหตุผลนี้เอง Social Media จึงเป็นช่องทางอีกช่องทางหนึ่งที่มีบทบาทสำคัญอย่างมาก ที่ทำให้คุณสามารถสื่อสารกับกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย และทำให้เขาเริ่มรู้จักคุณ, ชอบคุณ, และไว้ใจคุณ จนเขากล้าที่จะตัดสินใจซื้อสินค้าและบริการจากคุณ

หลายๆธุรกิจมักจะมองข้ามช่องทางนี้ด้วยเหตุผลที่ว่า คนที่กำลังใช้ Social Media อย่าง Facebook หรือ Instagram ไม่น่าจะกำลังมองหาสินค้าและบริการใดๆ และใช้งานมันเพื่อความสนุกกับเพื่อนและครอบครัวเท่านั้น…

แต่หากคุณใช้ประโยชน์จาก Social Media ในการทำการตลาดออนไลน์ได้อย่างถูกต้อง นี่จะเป็นช่องทางที่เรียกได้ว่ามีประสิทธิภาพสูงที่สุดในการสร้างลูกค้า

ในปัจจุบัน Social Media ที่มีผู้ใช้งานมากที่สุดในโลกก็คือ Facebook ซึ่งผู้ใช้งานทั้งหมดทั่วโลกมีสูงถึง 2.5 พันล้านคน (ปี 2020)

และหากนับในประเทศไทยเพียงอย่างเดียว ผู้ใช้งาน Facebook ก็มีจำนวนมากถึงประมาณ 50 ล้านคน

Social Media Marketing

อาจเรียกได้ว่านี่เป็นช่องทางที่ทำให้ธุรกิจของคุณเข้าถึงลูกค้าซึ่งเป็น “ใครก็ได้” เพราะเกือบทุกคนล้วนมีแอคเคาท์ Facebook ทั้งสิ้น

อย่างไรก็ดี การเริ่มทำ Social Media Marketing อาจไม่ได้ง่ายเหมือนอย่างที่เห็น…

เพราะคุณไม่สามารถที่จะสร้างเพจธุรกิจ, เขียนโพสต์อะไรก็ได้ทุกๆวัน, และสร้างยอดขายจำนวนมากได้ทันที

ดังนั้นในหัวข้อนี้ผมอยากจะเน้นไปที่พื้นฐานและวิธีการเบื้องต้นเพื่อให้คุณสามารถใช้ประโยชน์จากแพลตฟอร์มอย่าง Facebook ในการทำ Social Media Marketing ได้มากที่สุด

และนี่คือขั้นตอนในการทำ Social Media Marketing สำหรับธุรกิจ

Social Profile

คุณจะไม่สามารถสร้างลูกค้าจาก Social Media ได้เลยหากธุรกิจของคุณไม่มีตัวตน และไม่มีใครมองเห็น

ดังนั้นขั้นตอนแรกสุดของการทำ Social Media Marketing ก็คือการสร้าง Social Profile ซึ่งจะทำให้ธุรกิจของคุณเริ่มเป็นที่รู้จักมากขึ้นและถูกมองเห็นได้

คุณจำเป็นที่จะต้องมีเพจธุรกิจ ซึ่งจะเป็นช่องทางที่ใช้สื่อสารกับกลุ่มลูกค้าเป้าหมายของคุณโดยตรง

สิ่งนี้จะทำให้ลูกค้ามั่นใจว่าธุรกิจของคุณมีตัวตนจริงๆ และเขาสามารถที่จะเข้าถึงคุณได้ทุกเมื่อ หากต้องการสอบถามข้อมูลเกี่ยวกับสินค้าและบริการ, แชร์เรื่องราวเกี่ยวกับธุรกิจของคุณ, หรือแม้กระทั่งการขอรับความช่วยเหลือต่างๆหลังบริการ เป็นต้น

Social Listening

เมื่อธุรกิจของคุณเริ่มมีตัวตนบน Social Media แล้ว ผู้คนก็จะเริ่มตอบสนองกับแบรนด์ของคุณ

เป้าหมายของขั้นตอนนี้ก็คือการรับฟังเสียงตอบรับต่างๆที่เกิดขึ้น ซึ่งจะทำให้คุณทราบว่า…

  • ผู้คนพูดถึงธุรกิจของคุณอย่างไร
  • ผู้คนพูดถึงธุรกิจของคู่แข่งคุณอย่างไร
  • ผู้คนรู้สึกอย่างไรหลังจากที่ซื้อสินค้าและบริการจากคุณ
  • มีอะไรเกิดขึ้นใน Social Media ที่จะส่งผลต่อธุรกิจของคุณหรือไม่
  • พฤติกรรมของลูกค้าที่อยู่บน Social Media เป็นอย่างไร
  • คู่แข่งพูดถึงธุรกิจของคุณอย่างไร

และอื่นๆอีกมากมาย ซึ่งการรับฟังเสียงตอบรับเหล่านี้จะช่วยให้คุณสามารถพัฒนาธุรกิจให้อยู่ในทิศทางที่ถูกต้อง และสามารถนำเสนอสินค้าและบริการที่ลูกค้าประทับใจได้

Social Followers

เป้าหมายในการใช้ Social Media ของคุณก็คือการสร้างลูกค้า…

แต่คุณจะทำแบบนั้นไม่ได้เลยหากลูกค้ายังไม่ได้รู้จักคุณ, ชอบคุณ, และไว้ใจคุณ

เพื่อให้ลูกค้ารู้จักคุณมากขึ้นจนเขาเริ่มไว้ใจและกล้าตัดสินใจซื้อจากคุณ คุณจำเป็นต้องสร้างผู้ติดตาม เพื่อให้คุณสามารถที่จะอัพเดทคอนเทนต์ใหม่ๆให้กับเขา และแสดงให้ลูกค้าเห็นว่า ธุรกิจของคุณสามารถช่วยแก้ปัญหาที่เขากำลังมีอยู่ได้จริงๆ

อาจเป็นเรื่องยากหากคุณจะขายสินค้าและบริการให้กับคนแปลกหน้าซึ่งไม่ได้รู้จักคุณมาก่อน…

แต่หากเขากลายเป็นผู้ติดตามของคุณแล้ว และคุณสื่อสารกับเขาอย่างต่อเนื่องเพื่อสร้างความไว้ใจ การเสนอขายสินค้าและบริการเพื่อให้เขาซื้อก็จะไม่ใช่เรื่องยากเลย

ยิ่งคุณมาผู้ติดตามมากเท่าไร ธุรกิจของคุณก็จะ…

  • มีลูกค้าที่มีส่วนร่วมกับโพสต์ของคุณมากขึ้น
  • มีคนเข้าชมเว็บไซต์และรู้จักสินค้าและบริการมากขึ้น
  • ทำให้ลูกค้ารายใหม่ๆเข้ามาหาได้ง่ายขึ้น
  • มีความน่าเชื่อถือมากขึ้นเพราะลูกค้าเข้าถึงได้ง่าย
  • กลายเป็นผู้นำในอุตสากรรมและคนนึกถึงก่อนคู่แข่งเสมอ

ถึงแม้กระบวนการสร้างผู้ติดตามเพื่อให้ธุรกิจเป็นที่รู้จักมากขึ้นนี้เป็นขั้นตอนที่ใช้เวลา…

แต่ก็เป็นขั้นตอนที่ขาดไม่ได้เลยในการทำ Social Media Marketing เพราะผู้ติดตามเหล่านี้ก็คือคนที่จะกลายมาเป็นลูกค้าของคุณในอนาคตนั่นเอง

Social Selling

ตอนนี้คุณมีทั้ง Social Profile ซึ่งเป็นช่องทางให้ลูกค้าสามารถเข้าถึงคุณได้, คุณทราบแล้วว่าผู้คนรู้สึกกับธุรกิจของคุณอย่างไรผ่านการทำ Social Listening, คุณมีผู้ติดตามซึ่งเป็น Social Followers ซึ่งพร้อมจะซื้อสินค้าและบริการของคุณแล้ว…

ขั้นตอนสุดท้ายก็คือ Social Selling หรือการสร้างยอดขายจากคนที่เป็นผู้ติดตามนั่นเอง

เป้าหมายของคุณในขั้นตอนนี้ก็คือ:

  • จะทำอย่างไรที่จะเปลี่ยนผู้ติดตามที่มีอยู่ให้กลายเป็นผู้สนใจ (Lead)
  • จะทำอย่างไรเพื่อใช้ช่องทาง Social Media นี้ในการสร้างลูกค้ารายใหม่ๆหรือทำให้คนที่เป็นลูกค้าอยู่แล้วกลับมาซื้อสินค้าและบริการซ้ำ
  • จะทำอย่างไรให้ทั้งคนที่เป็นผู้ติดตามและลูกค้าของคุณชื่นชอบธุรกิจมากขึ้นจนอยากบอกต่อ

การที่คุณจะทำทั้งหมดนี้ได้ก็คือการสร้างคอนเทนต์ที่จะส่งกลุ่มเป้าหมายเข้าไปในกระบวนการสร้างลูกค้าของธุรกิจของคุณนั่นเอง

หากคุณต้องการสร้างผู้สนใจ — สร้างโพสต์ที่นำเสนอให้ผู้ติดตามคลิกเข้าชมเว็บไซต์ลงทะเบียนดาวน์โหลดคอนเทนต์สำหรับสมาชิก

หากคุณต้องการสร้างลูกค้าหรือสร้างการซื้อซ้ำ — สร้างโพสต์ที่ให้ผู้ติดตามเพจคลิกเข้าไปดูรายละเอียดของสินค้าและบริการในหน้า Sale Page

หากคุณต้องการสร้างการบอกต่อ — สร้างโพสต์เพื่อสนับสนุนให้ผู้ติดตามแชร์และบอกต่อคนรู้จัก เพื่อลุ้นรับรางวัลพิเศษ

และแคมเปญอื่นๆอีกมากมายที่คุณจะสามารถทำได้จากผู้ติดตามที่มีอยู่

Pay-per-click advertising

ปัญหาหนึ่งที่เป็นปัญหาใหญ่ที่สุดสำหรับคนที่ทำการตลาดออนไลน์ก็คือ การไม่มีผู้เข้าชมเว็บไซต์ (Traffic)

แต่จะเกิดอะไรขึ้น? หากคุณสามารถที่จะเข้าถึงกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย, ทำให้เขาสนใจในสิ่งที่คุณนำเสนอ, และทำให้เขาตัดสินใจกลายเป็นลูกค้าของคุณ…

ซึ่งคุณสามารถทำแบบนั้นได้ด้วย “การลงโฆษณาออนไลน์” นั่นเอง

Pay-per-click advertising หรือ PPC ก็คือการที่คุณจ่ายเงินให้กับแพลตฟอร์มโฆษณาต่างๆ (เช่น Facebook หรือ Google) เพื่อให้ผู้ใช้งานที่อยู่ในแพลตฟอร์มนั้น คลิกเข้ามาที่เว็บไซต์ของคุณ

ถึงแม้ว่าข้อดีของการทำการตลาดออนไลน์คือ มีวิธีการมากมายที่จะทำให้คุณสามารถสร้างลูกค้าได้โดยไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆ…

แต่ของทุกอย่างที่คุณจำเป็นต้องจ่ายเงินซื้อ ก็มักจะเป็นของที่มีคุณภาพดีกว่าเสมอ… ซึ่งผู้เข้าชมเว็บไซต์ก็ไม่ได้แตกต่างกัน

โดยปกติแล้วเราอาจแบ่งวิธีการสร้างผู้เข้าชมเว็บไซต์ออกได้เป็น 2 ประเภทคือ:

  1. แบบเสียเงิน – หรือที่เรียกว่า Paid Traffic
  2. แบบไม่ต้องเสียเงิน – หรือที่เรียกว่า Organic Traffic

นอกเหนือไปจากนี้แล้ว นี่คือความแตกต่างระหว่าง Traffic ทั้งสองประเภทนี้

Paid Traffic เปรียบเสมือนการที่คุณมีก๊อกน้ำและสายยาง ซึ่งทำให้คุณสามารถควบคุมทิศทางการไหลและความแรงของน้ำได้ คุณสามารถเปิดก๊อกน้ำนี้ได้ทุกเมื่อที่คุณต้องการ และปิดมันเมื่อคุณไม่ต้องการ

ในขณะเดียวกัน…

Organic Traffic เปรียบเสมือนการที่คุณรอใช้น้ำเมื่อมีฝนตก คุณไม่สามารถควบคุมปริมาณของน้ำฝนหรือทิศทางของมันได้ อีกทั้งคุณยังไม่รู้ว่ามันจะมามากน้อยขนาดไหน ซึ่งหมายถึงทุกอย่างไม่ได้อยู่ในความควบคุมของคุณ

ถึงแม้ว่าคุณจำเป็นที่จะต้องเสียเงินเพื่อสร้าง Paid Traffic แต่หากคุณเรียนรู้วิธีการใช้งานมันได้อย่างถูกต้อง คุณก็จะสามารถสร้างยอดขายกลับคืนมาเพื่อชดเชยค่าใช้จ่ายที่คุณเสียไปได้ไม่ยากเลย…

และนั่นหมายถึงการใช้ Paid Traffic ไม่ได้แตกต่างจากการใช้ Organic Traffic เลย เพียงแต่คุณเลือกที่จะใช้เงินหรือเวลาแลกมันมาเท่านั้น

ในหัวข้อก่อนหน้านี้คุณได้เรียนรู้เกี่ยวกับ Search Engine Marketing ไปแล้ว…

ซึ่งมันก็คือส่วนหนึ่งของ Pay-per-click advertising เพราะคุณจำเป็นที่ต้องจะต้องเสียเงินเพื่อสร้างผู้เข้าชมเว็บไซต์ แต่คุณก็สามารถที่จะควบคุมจำนวนได้ตามที่คุณต้องการนั่นเอง

แต่นอกเหนือไปจาก Google แล้ว ก็ยังมีแพลตฟอร์มอื่นๆอีกมากมายที่คุณจะสามาถลงโฆษณาได้ เช่น Facebook, Instagram, YouTube, Twitter, Linkedin เป็นต้น

ขั้นตอนการทำ Pay-per-click Advertising

เนื่องจาก Pay-per-click Advertising ของแต่ละแพลตฟอร์มล้วนมีข้อดีข้อเสียแตกต่างกัน…

ในส่วนนี้เราจะมาพูดถึงสองแพลตฟอร์มที่ใหญ่ที่สุด และเป็นแพลตฟอร์มที่คุณสามารถเริ่มต้นได้ง่ายที่สุด คือ Google และ Facebook

คุณสามารถที่จะใช้ทั้งสองแพลตฟอร์มนี้ในการเข้าถึงคนได้เกือบทุกคน ไม่ว่าลูกค้าของคุณจะเป็นใครก็ตาม…

อีกทั้งทั้งสองแพลตฟอร์มนี้ยังมีระบบการจัดการโฆษณาที่ค่อนข้างยืดหยุ่นและหลากหลาย ที่ทำให้คุณสามารถเลือกคนที่คุณอยากให้เห็นโฆษณาได้อย่างแม่นยำ

เรามาเริ่มต้นกันที่ Google Ads กันครับ

Google Ads

เซิจเอนจิ้นที่มีผู้ใช้งานมากที่สุดเป็นอันดับหนึ่งก็คือ Google…

ด้วยเหตุผลที่ในแต่ละวันมีการค้นหาข้อมูลต่างๆบน Google เป็นพันล้านครั้ง จึงมีธุรกิจมากมายต้องการลงโฆษณาบนแพลตฟอร์มนี้เพื่อให้ธุรกิจของตัวเองแสดงขึ้นมาเมื่อมีคนค้นหาสินค้าและบริการ

Google Ads

ในการลงโฆษณา Google Ads คุณจำเป็นที่จะต้องเลือกคำค้นหาและกำหนดราคาประมูลเพื่อแข่งขันกับผู้ลงโฆษณารายอื่นๆ และจ่ายเงินให้กับ Google ทุกครั้งที่โฆษณาของคุณถูกคลิก

ทั้งนี้ Google Ads เปิดโอกาสให้ผู้ลงโฆษณาสามารถแสดงโฆษณาของตัวเองได้ในหลายๆตำแหน่ง…

ซึ่งเราสามารถแบ่งประเภทของโฆษณาออกเป็น 2 ประเภทใหญ่ๆตามตำแหน่งคือ Search Network และ Display Network

Search Network

โฆษณาประเภทเครือข่ายการค้นหาหรือ Search Network นี้คือโฆษณาในรูปแบบข้อความ ซึ่งจะแสดงขึ้นมาเมื่อผู้ใช้งานทำการค้นหาด้วยคำค้นหาที่คุณเลือกเอาไว้บนเซิจเอนจิ้นของ Google เองหรือเว็บไซต์เครือข่าย

ผลการค้นหาซึ่งเป็นโฆษณาจะแสดงขึ้นมาก่อนผลการค้นหาแบบออร์แกนิคเสมอ ซึ่งทำให้ธุรกิจที่ใช้ Search Network นี้ในการลงโฆษณามีข้อได้เปรียบในการเข้าถึงลูกค้าที่กำลังมองหาสินค้าและบริการ

Search Network

เนื่องจากผู้ใช้งานที่กำลังค้นหาสินค้าและบริการบน Google มักจะมีระดับการตัดสินใจที่อยู่ในสถานะพร้อมซื้อมากกว่าแพลตฟอร์มอื่นๆ…

นั่นเป็นเหตุผลที่ Google Ads มักจะมีราคาค่าโฆษณาที่สูงกว่าแพลตฟอร์มอื่นๆเช่นเดียวกัน เพราะ Google Ads ทำให้ธุรกิจสามารถเข้าถึง “คนที่กำลังมองหาสินค้าและบริการ”

ค่าโฆษณาที่คุณจะต้องจ่ายให้กับ Google อาจมีราคาที่แตกต่างกันไปตั้งแต่หลักสิบบาทไปจนถึงหลักร้อยหรือพันบาท ขึ้นอยู่กับการแข่งขันในอุตสาหกรรมของคุณ หรือราคาของสินค้าและบริการ

กล่าวอีกอย่างหนึ่งก็คือ ยิ่งคุณมีโอกาสสร้างยอดขายจากลูกค้าที่ทำการค้นหาด้วยคีย์เวิร์ดนั้นมากเท่าไร ค่าคลิกที่คุณจะต้องจ่ายก็จะแพงมากขึ้นเท่านั้น…

เพราะผู้ลงโฆษณาคนอื่นๆมักจะยินดีจ่ายเงินจำนวนมาก หากผู้คลิกโฆษณาคนนั้นกลายเป็นลูกค้าของธุรกิจนั่นเอง

Display Network

นอกเหนือไปจากเครือข่ายการค้นหาแล้ว Google ยังมีเครือข่ายดิสเพลย์ซึ่งเป็นตัวเลือกในการแสดงโฆษณาเป็นรูปภาพ (หรือข้อความ) อีกด้วย

สำหรับ Display Network นี้ โฆษณาของคุณจะแสดงบนเว็บไซต์ต่างๆซึ่งเป็นเครือข่ายของ Google เช่น เว็บไซต์ทั่วไปซึ่งสมัครพาร์ทเนอร์สำหรับแสดงโฆษณา, YouTube, Gmail เป็นต้น

Display Network

ในส่วนของการเลือกว่าโฆษณาจะแสดงเมื่อใด คุณก็สามารถกำหนดได้ด้วยการเลือกแสดงโฆษณาบนเว็บไซต์ที่มีคอนเทนต์เกี่ยวข้องกับสินค้าและบริการของคุณ หรือแม้กระทั่งการเลือกเว็บไซต์ที่คุณต้องการให้โฆษณาไปแสดงได้ทันที…

และคุณก็จะจ่ายเงินให้กับ Google เมื่อคนที่เข้าชมเว็บไซต์เหล่านั้นคลิกโฆษณาของคุณนั่นเอง

นอกเหนือไปจากนั้นแล้ว การใช้ Display Network นี้ยังทำให้คุณสามารถใช้เทคนิคที่เรียกว่า “Remarketing” ซึ่งเป็นการแสดงโฆษณาให้คนที่เคยเข้าชมเว็บไซต์ของคุณและออกไปแล้ว เห็นโฆษณาซ้ำๆและกลับมาที่เว็บไซต์ของคุณอีกครั้ง

Facebook Ads

โฆษณาบน Facebook จะมีความแตกต่างจาก Google ตรงที่ ผู้ใช้งานที่อยู่บนแพลตฟอร์มนั้นอาจไม่ได้กำลังมองหาสินค้าหรือบริการของคุณ

อาจเรียกได้ว่าการใช้ Facebook Ads เปรียบเสมือนการใช้ป้ายโฆษณาขนาดใหญ่เพื่อโปรโมทธุรกิจ ซึ่งทำให้คุณสามารถแสดงโฆษณาให้กับกลุ่มเป้าหมายที่เดินผ่านไปมาบน Newsfeed นั่นเอง

ทั้งนี้ข้อดีของการใช้ Facebook Ads ที่แตกต่างจากการลงโฆษณาแบบออฟไลน์อย่างป้ายโฆษณาขนาดใหญ่ก็คือ คุณสามารถเริ่มต้นได้ด้วยงบประมาณต่ำๆ (หลักร้อยบาทต่อวัน) แต่ยังสามารถเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายจำนวนมากได้

และด้วยเหตุผลที่ Facebook มีการเก็บข้อมูลของผู้ใช้งานทุกคนอยู่ตลอดเวลา ไม่ว่าจะเป็นเพศ, อายุ, เบอร์โทรศัพท์, ความสนใจ, เพจที่ติดตาม, วีดีโอที่ชอบ และอื่นๆอีกมากมาย…

นั่นจึงทำให้การกำหนดกลุ่มเป้าหมายสำหรับการแสดงโฆษณาด้วย Facebook Ads ค่อนข้างมีความแม่นยำมาก และทำให้คุณสามารถที่จะเข้าถึงคนที่มีโอกาสจะเป็นลูกค้าของธุรกิจคุณจริงๆ เช่น คุณสามารถเลือกให้โฆษณาของคุณแสดงกับเฉพาะคนที่เป็นผู้ชาย, อายุ 25-44 ปี, และมีความสนใจเกี่ยวกับดนตรี เป็นต้น

โฆษณาของคุณจะแสดงในรูปแบบโพสต์ที่มาจากโปรไฟล์เพจของคุณ และคุณสามารถเลือกตำแหน่งโฆษณาได้หลายๆตำแหน่ง ไม่ว่าจะเป็น Newsfeed, Sidebar, Stories, Watch หรือแม้กระทั่งเว็บไซต์ที่เป็นเครือข่ายของ Facebook (ซึ่งคล้ายคลึงกับ Google Display Network)

Facebook Ads

การทำ Pay-per-click Advertising ด้วย Google และ Facebook จะทำให้คุณสามารถเข้าถึงลูกค้าได้อย่างแม่นยำ ซึ่งสนใจสินค้าและบริการของคุณจริงๆ…

ทีนี้เรามาดูกลยุทธ์ในการทำโฆษณาให้ได้ประสิทธิภาพสูงสุดด้วยการใช้มันร่วมกับ Customer Journey กันครับ

Traffic Temperature

คุณได้ทราบไปแล้วว่า Paid Traffic สามารถทำให้คุณควบคุมจำนวนผู้สนใจและลูกค้าที่จะเข้ามาหาธุรกิจของคุณได้ตามต้องการ…

ดังนั้นคุณจึงสามารถแสดงโฆษณาได้ตรงกับความต้องการใน Customer Journey ของคนๆนั้นด้วยการแบ่งระดับความพร้อมในการตัดสินใจของกลุ่มเป้าหมายดังนี้

Traffic Temperature

Cold Traffic:

นี่คือกลุ่มเป้าหมายที่ไม่เคยรู้จักกับธุรกิจของคุณมาก่อน หรือเป็นคนที่อยู่ในขั้น TOFU นั่นเอง

การใช้ Paid Traffic สำหรับกลุ่มเป้าหมายนี้มีจุดประสงค์เพื่อนำเขาให้เข้ามารู้จักกับธุรกิจของคุณมากขึ้น (Attract) เพื่อที่คุณจะสามารถสร้างความคุ้นเคยและทำให้เขาอยากรู้จักกับสินค้าและบริการของคุณเพิ่มเติม

Warm Traffic:

นี่คือกลุ่มเป้าหมายซึ่งเป็นคนที่รู้จักกับธุรกิจของคุณแล้ว แต่อาจจะยังไม่ได้ตัดสินใจซื้อสินค้าและบริการใดๆจากคุณ หรือก็คือคนที่อยู่ในขั้น MOFU

การใช้ Paid Traffic สำหรับกลุ่มเป้าหมายนี้มีจุดประสงค์เพื่อทำให้เขากลายเป็น “ผู้สนใจ” (Lead) เพื่อเป็นการตัดกรองเขาเข้าสู่กระบวนการถัดไปของการตัดสินใจซื้อ

Hot Traffic:

นี่คือกลุ่มเป้าหมายซึ่งเป็นคนที่รู้แล้วว่าธุรกิจของคุณคือหนึ่งในตัวเลือกที่เขาสามารถใช้ในการแก้ปัญหาได้ และกำลังพิจารณาว่าเขาจะซื้อสินค้าและบริการจากคุณหรือไม่ ซึ่งเป็นคนที่อยู่ในขั้นสุดท้ายคือ BOFU

การใช้ Paid Traffic สำหรับกลุ่มเป้าหมายนี้มีจุดประสงค์เพื่อทำให้เขาตัดสินใจง่ายขึ้นและกลายเป็นลูกค้าที่จ่ายเงินให้กับคุณ

เป้าหมายทั้งหมดของการใช้ Pay-per-click Advertising ก็คือการพากลุ่มเป้าหมายที่อยู่ในระดับ Cold Traffic ก้าวผ่านแต่ละขั้นตอนไปจนถึง Hot Traffic ด้วยการใช้หลักการ ทำให้เขารู้จักคุณ, ชอบคุณ, และไว้ใจคุณ…

กล่าวโดยสรุป ขั้นตอนการทำ Pay-per-click Advertising ที่ได้ผลก็คือ การใช้โฆษณานเพื่อดึงดูดกลุ่มเป้าหมายให้เข้ามารู้จักกับธุรกิจก่อน จากนั้นสร้างแคมเปญ Remarketing เพื่อสร้างความคุ้นเคยกับกลุ่มเป้าหมายนี้ด้วยการทำให้เขาเห็นโฆษณาของคุณซ้ำๆและได้ข้อมูลที่เขาต้องการจนครบ จนเขาพร้อมที่จะซื้อสินค้าและบริการจากคุณนั่นเอง

และเพื่อให้แคมเปญการตลาดออนไลน์ของคุณทำงานได้อย่างสมบูรณ์ สิ่งสุดท้ายที่คุณจะขาดไม่ได้เลยก็คือการทำการตลาดออนไลน์ผ่านอีเมล

Email Marketing

ในการทำการตลาดออนไลน์ สิ่งที่มีค่าที่สุดและเป็นทรัพย์สินของธุรกิจคุณก็คือ “ลิสต์อีเมล” ซึ่งเป็นบัญชีรายชื่อของคนที่เป็นทั้งผู้สนใจและลูกค้าปัจจุบัน

ในขณะที่ Organic Traffic คือวิธีการสร้างคนเข้าชมเว็บไซต์ที่คุณไม่สามารถควบคุมได้…

และ Paid Traffic คือวิธีการสร้างคนเข้าชมเว็บไซต์ที่คุณสามารถควบคุมมันได้ ทั้งปริมาณและความเร็ว แต่มีต้นทุนที่คุณต้องจ่ายเงินให้กับเจ้าของแพลตฟอร์ม…

อีเมลกลับเป็นวิธีการสร้างผู้เข้าชมเว็บไซต์ที่คุณเป็นเจ้าของ ที่ทำให้คุณสามารถส่งคนเข้ามาที่เว็บไซต์และสร้างยอดขายได้ทุกเมื่อที่คุณต้องการ

วิธีการที่จะอธิบายความสำคัญของการทำการตลาดผ่านทางอีเมลแบบง่ายๆเป็นดังนี้ครับ

หากคุณมีลิสต์อีเมลผู้ที่สนใจสินค้าและบริการของคุณจำนวน 10,000 รายชื่อ และคุณส่งอีเมลเพื่อยื่นข้อเสนอให้กับคนหนึ่งหมื่นคนนี้…

มี 10% ที่ตัดสินใจเปิดอีเมลและคลิกเข้าชมเว็บไซต์ของคุณ และจาก 10% นี้มี 1% ที่ตัดสินใจซื้อสินค้าและบริการราคา 2,500 บาท

นั่นหมายถึงคุณจะสามารถสร้างยอดขายได้ 25,000 บาทจากการส่งอีเมลเพียงครั้งเดียว

อย่างไรก็ดี การทำ Email Marketing ไม่ใช่เพียงแค่เรื่องของการส่งอีเมลโปรโมชั่นหรือเสนอขายเพียงอย่างเดียว…

เพราะนั่นเป็นวิธีการที่รวดเร็วที่สุดที่จะทำให้คนเลิกติดตามและเปิดอีเมลของคุณเช่นกัน

Email Marketing จึงเป็นวิธีการทำการตลาดออนไลน์สำหรับการสื่อสารและสร้างความสัมพันธ์กับคนที่อยู่ในลิสต์ของคุณ เพื่อทำให้เขารู้จักและไว้ใจธุรกิจของคุณมากขึ้น และทำให้เขาสามารถตัดสินใจซื้อได้ทันทีเมื่อคุณยื่นข้อเสนอให้กับเขานั่นเอง

อีเมลเป็นช่องทางที่สำคัญมากช่องทางหนึ่งที่จะทำให้คุณสามารถสร้างยอดขายได้ หากคุณรู้วิธีการใช้งานมันอย่างถูกต้อง…

ในการเริ่มต้นทำ Email Marketing คุณก็ต้องมีลิสต์อีเมลของคุณก่อน ซึ่งเริ่มต้นได้ดังนี้

เครื่องมือสำหรับการทำ Email Marketing

คุณจำเป็นต้องมีเครื่องมือสำหรับการส่งอีเมลให้กับผู้ใช้งานจำนวนมากในครั้งเดียว

ทั้งนี้ก็เพราะการส่งอีเมลจำนวนมากด้วยการใช้อีเมลฟรีอย่าง Gmail อาจทำให้อีเมลคุณตกไปอยู่ในกล่องสแปมหรือขยะได้…

อีกทั้งคุณยังไม่สามารถใช้ประโยชน์ด้านอื่นๆอย่างการจัดกลุ่มคนที่อยู่ในลิสต์, การตั้งเวลาส่งล่วงหน้า, การตั้งระบบตอบกลับอัตโนมัติ, หรือแม้กระทั่งการทำแคมเปญ Automation เพื่อส่งอีเมลตามพฤติกรรมของผู้ใช้งานได้เลย

มีเครื่องมือหลายตัวที่คุณสามารถใช้สำหรับการทำ Email Marketing ได้ ซึ่งเครื่องมือหนึ่งที่ผมแนะนำก็คือ GetResponse เพราะมันสามารถทำได้เกือบทุกอย่างที่คุณต้องการสำหรับการทำการตลาดผ่านทางอีเมล

Email Marketing - GetResponse

เริ่มต้นด้วย Lead Magnet

ในการเริ่มต้นสร้างลิสต์อีเมล คุณจำเป็นที่จะต้องมีสิ่งที่เรียกว่า “Lead Magnet”

Lead Magnet นี้คือข้อเสนอที่คุณตั้งใจยื่นให้กับกลุ่มลูกค้าเป้าหมายโดยไม่มีค่าใช้จ่าย โดยแลกเปลี่ยนกับการที่เขาจะต้องให้ข้อมูลการติดต่ออย่างชื่อและอีเมลกับคุณเพื่อรับมัน

นี่คือตัวอย่างของ Lead Magnet ที่คุณสามารถใช้เพื่อเริ่มต้นสร้างลิสต์อีเมลได้:

  • คู่มือ
  • วีดีโอ
  • เทมเพลต
  • คูปอง
  • แบบประเมิน

และอื่นๆอีกมากมายที่เป็นประโยชน์กับกลุ่มลูกค้าเป้าหมายของคุณ

สิ่งสำคัญก็คือ Lead Magnet นี้จะต้องมีคุณค่ามากพอที่ทำให้เขารู้สึกว่าคุ้มค่ากับการให้อีเมลส่วนตัวของเขา

Lead Magnet

จากนั้นเมื่อกลุ่มเป้าหมายของคุณตัดสินใจลงทะเบียนรับ Lead Magnet นี้แล้ว คุณก็สามารถที่จะตั้งค่าระบบส่งอีเมลอัตโนมัติ เพื่อเป็นการต้อนรับพวกเขาเข้าสู่ลิสต์อีเมลของคุณ และเริ่มนำเสนอคอนเทนต์อื่นๆที่เป็นประโยชน์กับเขาเพื่อสร้างความสัมพันธ์ในระยะยาว

เมื่อคุณทำทุกอย่างอย่างถูกต้อง อีเมลก็จะเป็นเครื่องหนึ่งที่คอยสร้างลูกค้าให้กับธุรกิจของคุณอย่างอัตโนมัติเช่นเดียวกัน

Email Marketing กับ Customer Journey

การทำการตลาดผ่านทางอีเมลเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้สำหรับการทำการตลาดออนไลน์ เพราะมันเป็นอีกช่องทางหนึ่งที่ทำให้คุณสามารถพากลุ่มลูกค้าเป้าหมายจากจุดหนึ่งไปอีกจุดหนึ่งของ Customer Journey ได้

คุณสามารถที่จะใช้มันกับเป้าหมายเหล่านี้:

  • การสร้างแบรนด์
  • การมีส่วนร่วม
  • การสร้างผู้เข้าชมเว็บไซต์
  • การสร้างผู้สนใจและลูกค้า
  • การสร้างยอดขาย
  • การสร้างยอดซื้อซ้ำ
  • การสร้างการบอกต่อ

…ซึ่งเป็นกระบวนการที่สำคัญทั้งหมดของ Customer Journey

ทั้งนี้สิ่งที่ทำให้ Email Marketing เป็นวิธีการทำการตลาดออนไลน์ที่มีประสิทธิภาพสูงก็เพราะ มันมีต้นทุนที่ค่อนข้างต่ำ แต่สามารถให้ผลตอบแทนที่ค่อนข้างสูง

ไม่ว่าคุณใช้ช่องทางใดในการสร้างผู้เข้าชมเว็บไซต์ก็ตาม เป้าหมายที่สำคัญที่สุดอันดับแรกของการสร้างผู้เข้าชมเว็บไซต์ก็คือ “เก็บลิสต์อีเมล”…

เพราะเมื่อคุณมีลิสต์อีเมลของกลุ่มลูกค้าเป้าหมายแล้ว คุณก็ไม่จำเป็นที่จะต้องเสียเงินเพื่อสร้างผู้เข้าชมเว็บไซต์คนนั้นอีก รวมทั้งยังสามารถควบคุมการไหลของ Traffic ได้ว่าต้องการให้เขาไปในส่วนไหนของกระบวนการในการสร้างลูกค้าของคุณ

sales funnel and customer journey

บทสรุป

มาถึงตรงนี้ คุณก็ได้เข้าใจวิธีการทำการตลาดออนไลน์ ซึ่งทำให้คุณสามารถดึงดูดคนแปลกหน้าที่เป็นกลุ่มเป้าหมายให้เข้ามารู้จักกับธุรกิจของคุณ และทำให้เขากลายเป็นลูกค้าที่จ่ายเงินให้กับคุณได้

สิ่งที่คุณได้เรียนรู้ไปในบทเรียนนี้เป็นพื้นฐานซึ่งเป็นแก่นที่สำคัญที่สุดของการทำการตลาดออนไลน์ ซึ่งหากคุณนำสิ่งเหล่านี้ไปลงมือปฏิบัติ ธุรกิจของคุณก็น่าจะสามารถสร้างลูกค้าได้มากขึ้น

ผมหวังว่าคู่มือนี้จะช่วยให้คุณมีพื้นฐานที่มั่นคงและสามารถนำทักษะไปต่อยอดได้อย่างรวดเร็ว

อย่าลืมที่จะฝึกฝนและพัฒนาความรู้ของคุณอย่างต่อเนื่อง แล้วคุณก็จะสามารถใช้การตลาดออนไลน์เพื่อเพิ่มลูกค้าและยอดขายให้กับธุรกิจได้ตามเป้าหมายที่คุณต้องการ

สุดท้ายนี้ หากคุณต้องการให้ผมช่วยออกแบบแผนการตลาดออนไลน์และนำสิ่งที่คุณเพิ่งเรียนรู้ไปลงมือปฏิบัติกับธุรกิจของคุณ… คุณสามารถลงทะเบียนที่นี่ได้โดยไม่มีค่าใช้จ่าย: https://bankchatchadol.com/talk/

เมื่อคุณลงทะเบียนเรียบร้อยแล้ว ผมจะตรวจสอบข้อมูลของคุณและประเมินว่าสินค้าหรือบริการอะไรของผมน่าจะช่วยเหลือให้คุณสร้างลูกค้าและยอดขายเพิ่มขึ้นได้

แล้วคุยกันครับ!