ปัญหาหลักๆที่คนทำการตลาดออนไลน์บน Facebook มักจะพบเจอก็คือ มีเพจแต่ไม่มีคนเห็น, โพสต์ขายของแต่ไม่มีคนไลค์ คอมเม้นและแชร์ หรือหากมีคนไลค์ คอมเม้น และแชร์ แต่ก็ไม่มีคนทักมาเพื่อส่งข้อความสั่งซื้อ หรือไม่มียอดขายอยู่ดี

จะโปรโมทสินค้าปกติก็ว่ายากอยู่แล้ว Facebook ยังมีการปรับระบบให้ Organic Reach น้อยลงซึ่งทำให้ผู้ติดตามเพจแทบจะไม่เห็นโพสต์ของคุณอีก

สุดท้ายกลายเป็นว่า คุณต้องจ่ายเงินโฆษณาเพื่อให้คนเห็นโพสต์ของคุณมากขึ้น แถมจ่ายไปแล้วยอดขายก็ไม่มี กลายเป็นเสียค่าโฆษณาฟรีๆ.. เอ๊ะนี่ Facebook มันหลอกกินเงินฉันหรือเปล่านี่!?!

หากนี่คือปัญหาที่คุณกำลังเจอ ผมอยากจะบอกว่าจริงๆแล้วไม่ใช่ว่า Facebook ไม่เวิร์คกับการทำธุรกิจหรือขายสินค้า หากแต่คุณยังไม่สามารถเข้าถึงกลุ่มลูกค้าที่ต้องการซื้อสินค้าของคุณจริงๆเท่านั้น ยิ่งไปกว่านั้นหากคุณไม่เข้าใจหลักการทำงานของโฆษณา Facebook นั่นก็แทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่คุณจะสร้างยอดขายหรือทำแคมเปญให้เกิดผลลัพธ์ที่ดีได้

ในบทเรียนนี้คุณจะได้รู้จักกับโฆษณา Facebook มากขึ้น และใช้มันอย่างมีประสิทธิภาพเพื่อโปรโมทสินค้าและบริการของคุณให้เป็นที่รู้จัก และที่สำคัญที่สุดก็คือสร้างยอดขายและลูกค้าให้ได้นั่นเอง

 

อะไรคือโฆษณา Facebook?

Facebook ที่เราใช้งานกันอยู่ในปัจจุบันมีจำนวนผู้ใช้งานทั่วโลกราวๆ 2 พันล้านคน ซึ่งในจำนวนนี้มีผู้ใช้งานที่อยู่ในประเทศไทยอยู่มากถึงเกือบๆ 50 ล้านคน แน่นอนว่าคนที่เป็นลูกค้าของคุณก็ย่อมมีแอคเคาท์ Facebook เป็นของตัวเองอยู่แล้ว.. แต่คำถามก็คือคุณจะเข้าถึงพวกเขาได้อย่างไร?

โฆษณา Facebook หรือ Facebook Advertising นี้เปิดโอกาสให้คนที่เป็นเจ้าของธุรกิจสามารถแสดงโฆษณาของตัวเองได้บนแพลตฟอร์มของ Facebook เพื่อที่จะเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายธุรกิจของตัวเอง โดยผู้โฆษณาสามารถเลือกได้ว่าต้องการเข้าถึงคนกลุ่มไหน แบบใด ด้วยการกำหนดเป้าหมายต่างๆไม่ว่าจะเป็น ที่อยู่ (ประเทศ, จังหวัด หรือ เมือง), อายุ, เพศ, ความสนใจ, พฤติกรรม และอื่นๆอีกมากมาย

ทั้งนี้โฆษณายังสามารถแสดงผลได้ทั้งบน News Feed, แถบคอลัมน์ด้านขวามือ, Instagram, หรือเว็บไซต์เครือข่ายอีกด้วย ทั้งยังสามารถกำหนดรูปแบบโฆษณาที่ต้องการไม่ว่าจะเป็นการใช้รูปภาพหรือวีดีโอ, การโปรโมทเพื่อให้คนคลิกเข้าชมเว็บไซต์ หรือการโปรโมทเพื่อเพิ่มการมีส่วนร่วมกับโพสต์โดยการกดไลค์ แชร์ และคอมเม้นต์ เป็นต้น

การที่คุณสามารถกำหนดเป้าหมายได้อย่างละเอียดและมีตัวเลือกที่หลากหลายในการทำโฆษณานี้เอง นี่จึงเป็นช่องทางที่ทำให้ธุรกิจสามารถเติบโตได้อย่างก้าวกระโดด โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากคุณสามารถเรียนรู้วิธีการใช้งานอย่างถูกต้อง ไม่ว่าคุณจะทำธุรกิจอะไร คุณก็สามารถหาลูกค้าได้ด้วยการใช้โฆษณา Facebook นั่นเอง

 

แล้วโฆษณา Facebook ทำงานอย่างไร?

เป้าหมายหลักของโฆษณา Facebook ก็คือการแสดงโฆษณาให้ตรงกับกลุ่มเป้าหมายมากที่สุด กล่าวคือ ถูกคน ถูกที่ และถูกเวลา

เนื่องจาก Facebook ใส่ใจกับสิ่งที่เรียกว่า User Experience หรือประสบการณ์ของผู้ใช้งานบนแพลตฟอร์ม อีกทั้งพื้นที่การแสดงผลยังมีจำกัด ระบบจึงต้องทำการคัดเลือกว่าจะแสดงโฆษณาตัวไหนให้กับผู้ใช้งานนั่นเอง

คำถามก็คือ.. โฆษณาของคุณจะถูกเลือกขึ้นมาแสดงได้อย่างไร?

การคัดเลือกว่าจะแสดงโฆษณาตัวไหนขึ้นมาจะทำผ่านการประมูล (Ad Auction) ซึ่งหลักการก็คือ ผู้ลงโฆษณาทุกคนจะแข่งขันกันเองเพื่อให้โฆษณาของตนได้แสดงผล ซึ่งหากคุณชนะการประมูลนั้น โฆษณาของคุณก็จะแสดงขึ้นมาให้กับผู้ใช้งาน.. กระบวนการเช่นนี้จะเกิดขึ้นซ้ำๆทุกครั้งที่มีโฆษณาแสดงขึ้นมา

หากคุณยังนึกภาพไม่ออกผมขออธิบายเป็นเคสดังนี้ครับ

สมมติให้นาย A เป็นผู้ชายอายุ 30 ปีซึ่งสนใจเรื่องแฟชั่นและสะสมนาฬิกาข้อมือ.. คุณเองต้องการขายนาฬิกาแฟชั่นให้กับเขา คุณจึงเลือกกำหนดเป้าหมายในโฆษณา Facebook เป็นผู้ชายอายุ 30 ปีที่สนใจนาฬิกาแฟชั่น.. แต่ในขณะเดียวกันก็มีแบรนด์นาฬิกาที่ต้องการโปรโมทสินค้าของตัวเองให้กับนาย A อีกหลายราย

เนื่องจาก News Feed ของนาย A มีพื้นที่จำกัดและ Facebook ไม่สามารถแสดงโฆษณาของผู้โฆษณาทุกคนได้ กล่าวคือ Facebook ไม่ต้องการให้นาย A ใช้งานแล้วเลื่อนเจอแต่โฆษณา เพราะแม้ว่านาย A จะสนใจซื้อนาฬิกาแต่การเจอโฆษณาที่เยอะเกินไปจะก่อให้เกิดความรำคาญ

ดังนั้นระบบจึงทำการประมวลผลเพื่อหาว่าโฆษณาของผู้โฆษณารายไหนควรจะได้ไปแสดงผลบนหน้าจอมือถือของนาย A อีกทั้งนาย A ยังน่าจะสนใจโฆษณาตัวนั้นมากที่สุด ซึ่งการประมวลผลนี้จะผ่านวิธีการประมูลและมีปัจจัยสำหรับการจัดลำดับโฆษณาต่างๆมากมาย

 

งบประมาณสำหรับการลงโฆษณา

เนื่องจากคุณต้องแข่งขันกับผู้โฆษณารายอื่นๆเพื่อให้โฆษณาของคุณแสดงต่อกลุ่มเป้าหมายที่คุณเลือก คำถามต่อมาก็คือ “ค่าใช้จ่ายสำหรับการลงโฆษณาบน Facebook คือเท่าไร?”

จริงๆแล้วค่าใช้จ่ายตรงนี้ไม่มีกำหนดตายตัว เนื่องจากขึ้นอยู่กับปัจจัยต่างๆมากมาย เช่น อัตราการแข่งขัน, ความสนใจส่วนตัวของกลุ่มเป้าหมาย, เพศและอายุ, ประเทศ, เมือง, รูปแบบโฆษณา, ตำแหน่งการจัดวาง รวมไปถึงคุณภาพของโฆษณาและอื่นๆอีกมากมาย ซึ่งปัจจัยเหล่านี้มีผลกระทบต่อค่าใช้จ่ายทั้งหมด

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจะขึ้นอยู่กับปัจจัยมากมาย แต่คุณเองก็สามารถกำหนดงบประมาณที่ต้องการใช้ได้ตามที่ต้องการ ซึ่งหากคุณมีงบประมาณน้อย คุณอาจเริ่มต้นที่งบประมาณวันละ 50-100 บาท แต่หากคุณมีงบประมาณมาก คุณก็อาจกำหนดงบประมาณไว้ถึงวันละ 10,000-30,000 บาท ซึ่งคุณสามารถปรับเปลี่ยนงบประมาณตรงนี้ได้ตลอดเวลา

ทั้งนี้หลังจากที่คุณกำหนดงบประมาณเรียบร้อยแล้ว Facebook จะรันโฆษณาของคุณและพยายามทำให้โฆษณานั้นได้ผลลัพธ์ที่คุ้มค่าที่สุดกับค่าใช้จ่ายที่คุณกำหนด

 

ปัจจัยที่กำหนดค่าใช้จ่ายโฆษณา

เมื่อคุณลงโฆษณาบน Facebook นั่นหมายถึงคุณกำลังแข่งขันกับผู้ให้โฆษณารายอื่นๆเพื่อให้โฆษณาของคุณแสดงผล ซึ่งหากคุณต้องการประหยัดค่าใช้จ่ายแคมเปญ คุณควรจะทราบว่าปัจจัยเบื้องต้นที่ Facebook นำมาคำนวณต้นทุนโฆษณาของคุณคืออะไรบ้าง เพื่อให้คุณใช้งบประมาณได้คุ้มที่สุดและมีประสิทธิภาพที่สุด

สิ่งหนึ่งที่คุณควรระลึกไว้เสมอก็คือ Facebook นั้นใส่ใจกับประสบการณ์การใช้งานของทุกๆคนบนแพลตฟอร์ม และต้องการแสดงเนื้อหาทุกๆอย่างให้ตรงกับที่ผู้ใช้งานแต่ละคนต้องการมากที่สุด อีกทั้งยังต้องการให้ผู้โฆษณาทุกคนได้ประโยชน์มากที่สุดอีกด้วย

แต่เนื่องจากพื้นที่บน Facebook มีจำกัด นั่นเองเป็นเหตุผลที่ Facebook จะเลือกแสดงเนื้อหาที่ดีที่สุดเป็นอันดับแรก ซึ่งจะถูกกำหนดด้วยคะแนนคุณค่าโดยรวม (Total Value) และโฆษณาไหนที่มีคะแนนนี้มากที่สุดก็จะถูกเลือกมาแสดงเป็นอันดับแรกนั่นเอง

การประมูลโฆษณา Facebook

การคำนวณคะแนนเพื่อจัดอันดับการแสดงผลนี้จะมีปัจจัยซึ่งประกอบไปด้วย:

 

ราคาประมูล

คุณสามารถใส่ราคาประมูลที่คุณต้องการลงไปได้ เช่น คุณต้องการจ่ายเงินไม่เกิน 5 บาทต่อการกดไลค์เพจหนึ่งครั้ง ทั้งนี้หากคุณยังไม่มีประสบการณ์ในการใช้โฆษณา Facebook มากนัก คุณสามารถให้ Facebook กำหนดราคานี้ให้กับคุณ (Auto Bid) ซึ่งระบบก็จะทำให้คุณใช้งบประมาณที่ถูกที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ต้องการ

อัตราการตอบสนองของโฆษณาโดยประมาณ

ทุกๆครั้งที่คุณเลือกวัตถุประสงค์ของโฆษณา ระบบจะปรับปรุงโฆษณานั้นๆให้ได้ผลลัพธ์ตามที่คุณเลือก นั่นหมายถึงหากคุณเลือกวัตถุประสงค์เป็นการเพิ่มการมีส่วนร่วมของโพสต์ (Post Engagement) ระบบก็จะคำนวณอัตราการตอบสนองของโฆษณานี้โดยการคาดการณ์จากสถิติของแคมเปญ เช่น หากโฆษณาของคุณมีคนเห็นแล้ว 100 ครั้งและมีการมีส่วนร่วมของโพสต์เกิดขึ้น 10 ครั้ง Facebook ก็จะคำนวณอัตรานี้เป็น 10% นั่นเองเป็นเหตุผลที่โฆษณาที่มีการตอบสนองดีจะมีโอกาสได้แสดงผลก่อน

คุณค่าสำหรับผู้ใช้งาน

เนื่องจากประสบการณ์การใช้งานคือสิ่งที่สำคัญสำหรับ Facebook การแสดงโฆษณาจึงถูกกำหนดด้วยตัวแปรนี้ร่วมด้วย ซึ่งระบบจะทำการประมวลผลว่า ผู้ใช้คนนี้น่าจะอยากเห็นโฆษณาของคุณหรือไม่? การประมวลผลจะคำนวณจากคุณภาพและความเกี่ยวข้องของโฆษณานั้นๆกับผู้ใช้งาน ซึ่งการที่คุณได้รับการตอบสนองทั้งทางดีและไม่ดีจะส่งผลต่อคะแนนนี้ทั้งสิ้น เช่น การถูกกด “ไม่ต้องแสดงโฆษณานี้อีก” ก็จะทำให้คุณได้คะแนนนี้ลดลง ในขณะที่หากผู้ใช้มีการไลค์ แชร์ หรือคอมเม้นโฆษณา ก็จะทำให้คุณได้รับคะแนนนี้เพิ่มขึ้น

 

ทั้ง 3 ปัจจัยนี้จะถูกนำมาคำนวณเพื่อหาคะแนนคุณค่าทั้งหมดและจัดลำดับโฆษณาออกมา ทั้งนี้แม้ว่าระบบการประมวลผลของ Facebook นั้นมีการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอและอาจมีปัจจัยเพิ่มเติมอีกในอนาคต แต่สิ่งหนึ่งที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลงคือการคำนึงถึงคุณภาพการใช้งานสำหรับผู้ใช้ นั่นเองจึงเป็นเหตุผลที่หากคุณต้องการลงโฆษณา Facebook อย่างมีประสิทธิภาพและคุ้มค่ากับงบประมาณที่สุด การให้คุณค่ากับผู้อ่านจึงมีความสำคัญเป็นลำดับแรก

 

ตรวจเช็คว่าธุรกิจของคุณเหมาะกับการลงโฆษณาหรือไม่

มีหลายๆคนที่ไม่ประสบความสำเร็จจากการโปรโมทสินค้าและบริการบน Facebook เนื่องจากโมเดลธุรกิจไม่ได้เหมาะสมกับแพลตฟอร์ม ซึ่งแม้ว่าคุณจะสามารถเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้ทุกรูปแบบ แต่หากคุณไม่เข้าใจเรื่อง Conversion Funnel คุณจะไม่สามารถทำแคมเปญที่ประสบความสำเร็จได้เลย

โดยปกติแล้วผู้ใช้งาน Facebook มักต้องการอ่านเนื้อหาและอัพเดทข่าวสารใหม่ๆจากเพื่อนที่รู้จักหรือเพจที่ติดตาม และไม่ได้มีความต้องการจะซื้อสินค้าหรือบริการอยู่แล้ว

รูปแบบการโฆษณาที่เรียกว่า Native Advertising ของ Facebook นี้จะแตกต่างจาก Search Engine Marketing หรือโฆษณาของ Google Adwords ตรงที่ การค้นหาด้วยการใช้เซิจเอนจิ้นหมายถึงผู้ใช้ต้องการทำอะไรอย่างใดอย่างหนึ่งโดยเฉพาะเจาะจง เช่น การใช้คำค้นหาด้วยคำว่า “ซื้อรองเท้าแฟชั่นผู้ชาย, บริการออกแบบและจัดสวน, เรียนพิเศษภาษาอังกฤษที่ไหนดี” ซึ่งการค้นหาเหล่านี้บ่งบอกความต้องการอยู่แล้ว จึงทำให้ธุรกิจสามารถตอบโจทย์ของผู้ค้นหาได้ทันที

ในขณะเดียวกันกับการลงโฆษณา Facebook เนื่องจากผู้ใช้งานต้องการใช้เพื่อความบันเทิงเป็นหลักและไม่ได้เข้ามาใช้งานเพื่อหาสินค้าและบริการที่จะซื้อ การใช้งานโฆษณา Facebook สำหรับเจ้าของธุรกิจที่ต้องการสร้างลูกค้ารายใหม่ๆจึงเหมาะกับการสร้างความต้องการหรือความอยากได้ในตัวสินค้าและบริการให้กลุ่มเป้าหมาย แทนที่จะเป็นการสร้างยอดขายในทันทีนั่นเอง

 

หากคุณกำลังคาดหวังว่าคุณจะต้องสร้างยอดขายได้ทันทีจากการลงโฆษณา Facebook คุณเองก็อาจไม่เหมาะที่จะใช้งานมันเท่าไรนัก

อ้าว.. แล้วถ้าสร้างยอดขายไม่ได้แล้วจะลงโฆษณาไปทำไม?

อย่าเพิ่งเข้าใจผมผิดไปนะครับ.. คุณสามารถสร้างยอดขายจากโฆษณา Facebook ได้อย่างแน่นอน แต่ผมขอย้ำอีกครั้งว่า “แค่ไม่ใช่ในทันที”

ผมอยากให้คุณลองนึกภาพตามแบบนี้.. ผู้ใช้งานคนหนึ่งซึ่งไม่ได้กำลังต้องการสินค้าหรือบริการจากคุณเห็นโฆษณาที่คุณลงและคลิกเพื่ออ่านรายละเอียดในโพสต์หรือในเว็บไซต์ คุณคิดว่ามีความเป็นไปได้มากแค่ไหนที่ผู้ใช้งานคนนี้จะตัดสินใจจ่ายเงินผ่านเว็บไซต์หรือทักข้อความมาแล้วโอนเงินให้กับคุณ?

ความเป็นไปได้ก็คงมีไม่มากนักใช่มั้ยครับ? เพราะไม่ว่าผมหรือคุณก็ไม่ได้ตัดสินใจซื้อสินค้าทันทีเมื่อเห็นโฆษณาที่ขึ้นมาทันทีเช่นเดียวกัน

และเมื่อการสร้างยอดขายโดยทันทีนั้นไม่อาจทำให้คุณประสบความสำเร็จจากการลงโฆษณาได้ คุณจึงควรเริ่มต้นด้วยการสร้างความต้องการให้ผู้บริโภคก่อน จากนั้นจึงค่อยทำการติดตามแล้วเปลี่ยนเขามาอยู่ในแต่ละขั้นตอนถัดๆไปของ Conversion Funnel

 

สร้างความต้องการก่อนแล้วจึงสร้างยอดขาย

ยกตัวอย่างเช่น หากคุณเปิดฟิตเนสและต้องการหาสมาชิกใหม่ๆ คุณไม่สามารถคาดหวังว่าทุกๆคนที่เห็นโฆษณาจะเข้ามาสมัครสมาชิกรายปีซึ่งเป็นบริการของคุณ ดังนั้นคุณอาจเริ่มต้นสร้างความต้องการให้กลุ่มเป้าหมายของคุณก่อนด้วยการนำเสนอโปรแกรมทดลองฟรี 1 ครั้งโดยสามารถกดไลค์และติดตามเพจเพื่อรับสิทธิ์ และทักข้อความเพื่อนัดวันเวลาเข้ามาทดลอง ซึ่งแน่นอนว่าหากเขาเข้ามาทดลองใช้บริการ ก็มีโอกาสสูงที่เขาจะสมัครสมาชิกกับคุณในโอกาสต่อมา

แต่แน่นอนว่าไม่ใช่ทุกคนที่กดไลค์และติดตามเพจจะเข้ามาทดลองใช้สิทธิ์ ดังนั้นคุณก็สามารถอัพเดทข่าวสารและนำเสนอโปรโมชั่นใหม่ๆให้กับผู้ติดตามเพจอย่างต่อเนื่อง ซึ่งในอีก 3 เดือน 6 เดือนหรือ 1 ปีเขาอาจเข้ามาทดลองใช้บริการและสมัครสมาชิกนั่นเอง

จากเหตุการณ์สมมตินี้ คุณคิดว่าการสร้างความต้องการให้กับกลุ่มเป้าหมายน่าจะทำให้คุณได้ผลลัพธ์ที่ดีกว่าการลงโฆษณาเพื่อบอกว่าฟิตเนสของคุณมีค่าสมาชิกเท่าไรและสมัครวันนี้ลดอีก 50% มั้ยครับ? หากคำตอบคือใช่ คุณเองก็สามารถประสบความสำเร็จจากการลงโฆษณา Facebook ได้เช่นเดียวกัน

ทั้งนี้ไม่ว่าธุรกิจของคุณจะเป็นอะไรก็ตาม.. หมอฟัน, ทนาย, เอเจนซี่, สถาปนิก, นักออกแบบ, ฟรีแลนซ์, ที่ปรึกษา, โค้ช, นายหน้าอสังหาริมทรัพย์ หรือเปิดร้านขายของออนไลน์ การสร้าง Conversion Funnel จะทำให้คุณใช้โฆษณาได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งผมจะพูดถึงรายละเอียดในบทเรียนต่อๆไป

 

เรียนรู้นโยบายการลงโฆษณาของ Facebook ก่อนเริ่มต้นแคมเปญ

เนื่องจาก Facebook มีนโยบายสำหรับผู้ใช้โฆษณาที่ค่อนข้างจะเข้มงวด ดังนั้นคุณควรที่จะศึกษารายละเอียดต่างๆให้ดี เพราะหากคุณทำผิดกฎ คุณก็อาจถูกยกเลิกแอคเคาท์และไม่สามารถใช้งานโฆษณาได้อีก

ทั้งนี้การลงโฆษณาทุกๆชิ้นจะถูกตรวจสอบก่อนเสมอเมื่อคุณกดสั่งซื้อ ซึ่งโดยปกติโฆษณาจะใช้เวลาไม่เกิน 24 ชั่วโมง เมื่อคุณได้รับการอนุมัติแล้วโฆษณาก็จะเริ่มรันและคุณสามารถดูผลลัพธ์ได้บนตัวจัดการโฆษณา (Ads Manager) แต่หากโฆษณาของคุณไม่ได้รับการอนุมัติ คุณก็สามารถแก้ไขให้โฆษณาถูกต้องตามนโยบายได้ ซึ่ง Facebook ก็จะบอกเหตุผลเสมอหากโฆษณาของคุณไม่ได้รับการอนุมัติ

อย่างไรก็ดีแม้ว่าโฆษณาของคุณจะได้รับการอนุมัติและเริ่มต้นรันไปแล้ว Facebook ก็จะมีการตรวจสอบโฆษณาของคุณอย่างสม่ำเสมอ ซึ่งหากคุณทำผิดนโยบายหรือมีการรายงานจากผู้ใช้งานว่าโฆษณาของคุณมีแนวโน้มจะเป็นสแปม ระบบก็สามารถระงับการใช้งานของคุณได้ทุกเมื่อ

ซึ่งนี่คือนโยบายเบื้องต้นที่คุณควรรู้และคุณสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายโฆษณาของ Facebook เอง

 

พาดหัวและข้อความ

การระบุลักษณะบุคคล
โฆษณาห้ามเจาะจงถึงสถานภาพต่างๆของบุคคลไม่ว่าจะทางตรงหรือทางอ้อม เช่น การใช้ข้อความ “คุณเป็นโรคอ้วนและต้องการลดน้ำหนัก?”.. ซึ่งคุณจะเห็นได้ว่าการใช้ข้อความลักษณะนี้จะสื่อถึงลักษณะทางกายภาพของบุคคลเพื่อชี้นำให้คนที่ตรงตามลักษณะนั้นกดดูโฆษณาของคุณ

การใช้ภาษาที่ไม่เหมาะสม
โฆษณาจะต้องไม่ใช้ภาษาที่หยาบคาย, ดูถูก หรือเหยียดหยาม

การกล่าวอ้างสรรพคุณ
โฆษณาห้ามกล่าวอ้างสรรพคุณที่เกินจริงหรือการันตีผลลัพธ์ การไม่ได้รับอนุมัติจากนโยบายข้อนี้มักพบเห็นได้บ่อยในธุรกิจประเภท ยาลดน้ำหนัก, ธุรกิจแชร์ลูกโซ่ หรือธุรกิจรวยทางลัด เช่น “ผอมลงได้ใน 7 วัน” “การันตีผลตอบแทน 20% ต่อเดือน” เป็นต้น

หน้าเว็บไซต์เป้าหมาย (Landing Page)
หากคุณทำโฆษณาที่ลิงค์ไปที่เว็บไซต์ของคุณ หน้าเว็บไซต์ที่ลิงค์ไปนั้นจะต้องมีเนื้อหาซึ่งเกี่ยวข้องกับโฆษณาที่แสดง

 

รูปแบบโฆษณา

ปุ่มหลอกบนโฆษณา
โฆษณาจะต้องไม่ชี้นำแบบผิดๆซึ่งพยายามทำให้ผู้ใช้งานกดดู เช่น การใช้รูปภาพที่มีปุ่มวีดีโอแต่ไม่สามารถเล่นวีดีโอได้ เป็นต้น

การใช้ภาพ Before & After
โฆษณาจะต้องไม่ใช้ภาพ Before & After หรือก่อนและหลัง ซึ่งเป็นการสร้างความคาดหวังในผลลัพธ์ต่อผู้ใช้งาน การไม่ได้รับอนุมัติจากนโยบายข้อนี้มักพบในสินค้าประเภทลดน้ำหนักหรือธุรกิจฟิตเนส ซึ่งแสดงผลลัพธ์ของก่อนหลังของผู้เข้าคอร์สออกกำลังกายหรือใช้อาหารเสริม

การใช้ภาพที่สื่อถึงความไม่เหมาะสมทางเพศ
โฆษณาจะต้องไม่ใช้ภาพสองแง่สองง่าม หรือสื่อออกมาในลักษณะที่ไม่เหมาะสมทางเพศ เช่น การใช้ภาพผู้หญิงเปลือยหรือเจาะจงเฉพาะส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกาย เป็นต้น

การใช้ภาพสะเทือนขวัญ
โฆษณาที่ใช้ภาพซึ่งน่ากลัวหรือสะเทือนขวัญต่อผู้ใช้งานจะไม่ได้รับการอนุมัติ เช่น การใช้ภาพอาวุธ หรือ อุบัติเหตุรุนแรง เป็นต้น

การใช้ข้อความในรูป
Facebook แนะนำให้คุณใช้ข้อความภายในรูปสำหรับการโฆษณาได้ไม่เกิน 20% ทั้งนี้แม้ว่าคุณจะสามารถแสดงโฆษณาได้หากมีข้อความเกินเปอเซนต์ที่กำหนด แต่โฆษณาก็จะอาจถูกจำกัดการมองเห็นได้ซึ่งคุณสามารถใช้เครื่องมือ Text Overlay เพื่อตรวจสอบความเหมาะสมของการใช้ข้อความในรูปได้.. อย่างไรก็ตามหากข้อความนั้นเป็นข้อความที่ติดมากับรูปอยู่แล้ว เช่น ข้อความบนผลิตภัณท์ หรือโปสเตอร์อีเวนท์ ก็จะได้รับการยกเว้นจากกฎข้อนี้

 

ทั้งหมดนี้ก็เป็นนโยบายการโฆษณาบน Facebook เบื้องต้น ซึ่งหากคุณคิดว่าสามารถปฏิบัติได้ตามอย่างไม่มีปัญหา คุณก็พร้อมที่จะเริ่มแคมเปญโฆษณาแล้วครับ

 

 

เริ่มโปรโมทสินค้าและบริการ!

ตอนนี้คุณก็รู้จักกับโฆษณา Facebook พอสมควร ผมคิดว่าคุณเองก็พร้อมที่โปรโมทสินค้าและบริการของคุณเพื่อเริ่มต้นสร้างยอดขายให้กับธุรกิจแล้ว

สำหรับขั้นตอนต่อไป ผมอยากให้คุณวางแผนสำหรับธุรกิจของคุณเองว่าต้องการใช้งบประมาณจำนวนเท่าใดในการเริ่มต้นทำโฆษณา และเมื่อคุณได้ตัวเลขในใจแล้ว ในโอกาสต่อๆไปเราจะมาเรียนรู้วิธีการทำโฆษณาที่เจาะลึกกันมากขึ้น เพื่อให้คุณสามารถตัดสินใจได้ว่าควรจะทำโฆษณาออกมาในทิศทางไหน

สำหรับเนื้อหาในบทเรียนนี้ผมคงจบไว้ที่เท่านี้ ซึ่งหากคุณมีคำถามก็สามารถคอมเมนต์ไว้ด้านล่างนี้ได้เลยครับ

แล้วพบกันในบทเรียนต่อๆไป!